มหากาพย์ผลาญภาษีในฮาเร็ม ตอนที่ 2

จัดทำจากเอกสารสไลด์และการไลฟ์ในรายการ คุยการเมืองกับจรรยา ยิ้มประเสริฐ
เรื่อง “สงครามศึกชิงผัวระหว่างผู้หญิงของกษัตริย์วิปริต บ้ากาม” ที่ช่อง ACT4DEM เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563

หม่อมเลือดสีน้ำเงิน

การแต่งงานครั้งแรกของวชิราลงกรณ์เกิดจากการจัดการของสิริกิติ์ แม่ของเขาผู้ต้องการธำรงไว้ซึ่งเลือดสีน้ำเงิน เธอจัดแจงพาโสมสวลีลูกสาวของพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองมาแต่งงานกับลูกชายในไส้ วชิราลงกรณ์ในเวลานั้นมีคนรักอยู่แล้วชื่อยุวธิดา ซึ่งเป็นเพียงดาราหนังไร้ศักดินาจึงไม่เป็นที่ยอมรับของทางวัง แต่เพื่อเอาใจแม่วชิราลงกรณ์จึงยอมแต่งงานโดยดี หนึ่งปีต่อมาเขาก็มีลูกกับโสมสวลี ซึ่งก็คือองค์ภานั่นเอง

แต่วชิราลงกรณ์ยังไม่ตัดขาดจากยุวธิดา และยังคบหากับเธอทั้งที่แต่งงานแล้ว สร้างความเจ็บช้ำใจให้กับโสมสวลีตลอดมา ซ้ำร้ายกว่านั้นเพียงหนึ่งปีหลังจากที่โสมสวลีให้กำเนิดองค์ภา ยุวธิดาก็ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกของวชิราลงกรณ์ นั่นหมายถึงตำแหน่งแม่ของมกุฎราชกุมารได้ตกไปเป็นของยุวธิดา นังผู้หญิงเลือดไพร่แล้ว

จดหมายสนเท่ห์สุดฉาว

นับวันความสัมพันธ์ระหว่างวชิราลงกรณ์และโสมสวลียิ่งดิ่งลงเหว นอกจากเธอจะไม่มีโอกาสได้มีลูกกับเขาอีก ยุวธิดายังคลอดลูกคนชายคนที่สอง สาม สี่ ออกมาให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจเพิ่มอีก ยุวธิดาได้ออกงานคู่กับวชิราลงกรณ์ราวกับเป็นเมียหลวงบ่อยๆ แม้แต่สิริกิติ์แม่สามีที่คอยถือหางก็ไม่สามารถช่วยโสมสวลีได้

ในระหว่างนั้นเอง ก็มีจดหมายสนเท่ห์ร่อนไปทั่วกรุงว่าด้วยเรื่องฉาวโฉ่ และพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม จนไปถึงขั้นอุจาดของเจ้าฟ้าชายและเมียนอกสมรส

ถึงแม้ว่าจดหมายเหล่านั้นจะไม่ได้ลงชื่อผู้เขียน แต่ก็เดาได้ไม่ยาก ด้วยภาษาที่ใช้และเรื่องราวที่รู้ลึก รู้จริงอย่างคนวงใน ชาวเมืองต่างคาดเดาไปทางเดียวกันว่าจดหมายนี้ หากไม่ได้มาจากโสมสวลีแล้ว ก็คงจะเป็นคนในราชสกุลของเธอที่เจ็บแค้นแทนนั่นเอง

จะเผ็ดร้อนแค่ไหนขอให้ทุกท่านอ่านกันดูเอง แล้วจะซึ้งว่าเจ้าผู้สูงส่งถึงเวลาจะด่าก็จัดจ้านได้ยิ่งกว่าไพร่เสียอีก

 

“มันจะเป็นเจ้าไม่ได้ ถ้าประชาชนคนไทยไม่ยกย่อง ไม่เคารพนับถือแล้ว … ถ้ามันได้เป็นกษัตริย์ครองเมือง มันจะยิ่งทำในสิ่งที่ชั่วร้ายหนักขึ้นกว่านี้” ดูเหมือนว่า โสมสวลีจะทำนายอนาคตได้แม่นยำเลยทีเดียว

ความโกรธแค้นที่โสมสวลีมีต่อตัวลูกชายนั้นลามไปถึงสิริกิติ์ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการจับคู่ด้วย เมื่อเกิดเรื่องงามหน้าระหว่างสิริกิติ์ กับพันโทณรงค์เดช ก็เป็นคนในวังนี่แหละที่เอามาแฉเสียเอง

แม้จดหมายปริศนาเหล่านี้จะถูกส่งไปทั่วกรุง กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน แต่ก็ไม่ทำให้วชิราลงกรณ์เปลี่ยนพฤติกรรมได้ สุดท้ายวชิราลงกรณ์ก็หย่ากับโสมสวลีในปี พ.ศ. 2534 และแต่งงานกับยุวธิดา (เปลี่ยนชื่อเป็นสุจาริณี) แน่นอนว่าโสมสวลีก็แทบกระอักเลือดในตอนนั้น

โสมสวลีในปัจจุบัน

หม่อมสุจาริณีและองค์ชายทั้งสี่ผู้ถูกเนรเทศ

ถึงแม้จะมีพยานรักร่วมกันถึงห้าคนแต่ท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตการแต่งงานของวชิราลงกรณ์และหม่อมสุจาริณี (เบนซ์ – ชื่อเดิมยุวธิดา) ก็ไปไม่รอด  เพราะนิสัยเพลย์บอยนั้นหยั่งรากลึก วชิราลงกรณ์กลับไปหลงมัวเมากับผู้หญิงคนใหม่ที่ชื่ออี๊ด จนกระทั่งมีเรื่องทะเลาะกันรุนแรงจนเป็นเหตุให้วชิราลงกรณ์ไล่หม่อมสุจาริณีพร้อมลูกทั้งห้าคนออกจากวัง

ข่าวฉาวนี้ไม่ได้หลุดออกมาผ่านทางจดหมายสนเท่ห์เท่านั้น แต่ยังมีประกาศที่ทางวังแปะประจานอยู่รอบรั้ววังนนทบุรี และยังลงประกาศในหนังสือพิมพ์อีกด้วย

เจ้าชายไร้บัลลังก์

หลังจากที่ถูกเฉดหัวออกไปจากวังด้วยข้อหาร้ายแรงนานับประการ หม่อมสุจาริณีและลูกชายระเห็จไปอยู่สหรัฐอเมริกา พวกเขาเริ่มถูกริดรอนสิทธิของเชื้อพระวงศ์ เริ่มจากการถูกยกเลิกหนังสือเดินทางทูต เปลี่ยนคำนำหน้าให้เป็นนาย และยกเลิกราชสกุลมหิดล ให้ไปใช้วิวัชรวงศ์แทน

ต่อมาภายหลังก็มีจดหมายส่งมาจากองค์ชายไร้บัลลังค์ทั้งสี่ อธิบายว่าแม่ของเขาถูกใส่ร้าย และเป็นฝ่ายถูกกระทำ เพียงเพราะพ่อของเขามีผู้หญิงคนใหม่ และน้องสาวคนเล็กของพวกเขาถูกลักพาตัวไปในขณะที่พำนักอยู่ที่อังกฤษ โดยที่วชิราลงกรณ์วางแผนที่จะใช้น้องสาวคนเล็กโจมตีแม่ของพวกเขา

ในขณะเดียวกัน วชิราลงกรณ์ปฎิเสธที่จะพาตัวลูกชายทั้งสี่กลับไปอยู่กับเขา เห็นได้ชัดว่าวชิราลงกรณ์ไม่ต้องการพบหรือพูดคุยกับลูกชายทั้งสี่อีกต่อไป พร้อมทั้งบอกกับทั้งสี่คนว่าพวกเขาต้องใช้ทั้งชีวิตอยู่ต่างประเทศและอย่าได้พยายามจะกลับเมืองไทย พวกเขาหมดประโยชน์แล้ว

“พวกเราได้พยายามติดต่อกับภูมิพลผู้เป็นปู่ รวมถึงสิรินธรผู้เป็นอา แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบรับ เราได้ยินว่าท่านปู่บอกให้พ่อช่วยเหลือพวกเรา แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สุดท้ายเราก็เริ่มตระหนักว่าจะไม่มีความช่วยเหลือจากราชวงศ์นี้ส่งมาถึงเราอีกต่อไป”

แม้แต่ครอบครัวผลประเสริฐซึ่งเป็นนามสกุลเก่าของหม่อมสุจาริณีก็ต้องระเห็จออกไปจากประเทศเช่นกัน แม้พวกเขาจะไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ถูกยึดทรัพย์สินทุกอย่างไปราวกับเป็นอาชญากร

แม้จะไม่มีใครรู้ว่าองค์ชายทั้งสี่ได้รับความช่วยเหลืออย่างลับๆ หรือไม่ แต่ปัจจุบันทั้งสี่คนก็ยังมีชีวิตอยู่ ได้รับการศึกษาที่ดี และเป็นที่สนใจของคนไทยในต่างแดน

มีคนไทยบางกลุ่มพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้พวกเขามีความชอบธรรมในการสืบต่อบัลลังก์ แต่พวกเราก็ได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์แล้วว่า อำนาจและเงินตราก็ทำให้พี่น้องฆ่ากันได้ เราไม่ต้องการกษัตริย์องค์ใหม่ เราต้องการประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์

เป็นยังไงบ้างเหนื่อยอ่านกันหรือยัง นี่เป็นแค่เรื่องราวของภรรยาเพียงสองคนแรกเท่านั้นนะ ตอนต่อไป (ตอนจบ) เราจะมาเล่าถึงประวัติของ”อีอี๊ด”ที่ถูกกล่าวถึงจดหมายสนเท่ห์ รวมถึงราชินีนุ้ย และคุณพระก้อยกัน

 

อ่านตอนที่ 1 มหากาพย์ผลาญภาษีในฮาเร็ม ตอนที่ 1

อ่านตอนที่ 3 มหากาพย์ผลาญภาษีในฮาเร็ม ตอนที่ 3 (จบ)

To be continued …