วันนี้ชาวไทยก็คงได้เห็นกันทั่วทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วถึงความเอาแต่ใจ ไร้สัจจะ ไร้ทศพิธราชธรรมของกษัตริย์ไทย จากเหตุการณ์ที่คืนฐานันดรให้กับเจ้าคุณพระสินีนาฎ หลังจากที่แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้เพียงสองเดือน แล้วก็โยนเธอเข้าคุกพร้อมข้อกล่าวหาละเอียดยืดยาวน่าอับอายสองหน้ากระดาษ ในวันนี้เธอกลับมาแล้ว เจ้าคุณพระก้อยกลับมาพร้อมกับทุกสิ่งที่เธอเคยได้ พร้อมคำอธิบายสั้นๆ ว่า “มิได้เป็นผู้มีมลทินมัวหมอง”
ในโลกออนไลน์มีการวิจารณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อม อย่างเผ็ดร้อนกันทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะในทวิตเตอร์ที่มีแฮชแท็คขึ้นเทรนด์ที่เต็มไปด้วยแฮชแท็คทางการเมืองและราชสำนัก อย่างเช่น #เจ้าคุณพระ #ปฎิรูปสถาบันกษัตริย์ #สาวน่านคัมแบ็ก #ง้อนะครับ #มิได้เป็นผู้มีมลทินมัวหมอง
การกลับมาของหม่อมก้อยนั้นเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องซุบซิบใต้เตียงดารา แต่เรื่องนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยของเรากำลังจะเดินถอยหลัง ย้อนเวลากลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่เจ้าเป็นผู้ตัดสินชีวิตเด็ดขาดเพียงคนเดียว อยากให้ใครตาย ใครอยู่ก็เลือกได้ตามใจ ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย หรือจริยธรรมอันใด
จัดทำจากเอกสารสไลด์และการไลฟ์ในรายการ คุยการเมืองกับจรรยา ยิ้มประเสริญ
เรื่อง “สงครามศึกชิงผัวระหว่างผู้หญิงของกษัตริย์วิปริต บ้ากาม” ที่ช่อง ACT4DEM เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563
เรื่องผู้หญิงของวชิราลงกรณ์ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไปเพราะสิ่งที่ประชาชนชาวไทยจำเป็นต้องรู้ก็คือ เงินทองที่เขาเอามาปรนเปรอเลี้ยงดูผู้หญิงเหล่านี้ไม่ได้มาจากศักดิ์และสิทธิ์ของตัวเขาเองอย่างแท้จริง หากแต่เป็นสมบัติที่ถูกขูดเลือดเอามาจากชาวประชาชนไทยที่อดอยาก ยากจน หกสิบกว่าล้านคน
สุดยอดพระราชกรณียกิจในรัชสมัย
นับตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ในปีพ.ศ. 2559 วชิราลงกรณ์ได้ทำการรวมเอาหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เคยถูกตรวจสอบได้จากรัฐสภาภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตย มาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว และจัดตั้งกองกำลังที่ปกป้องตัวเขาเพียงคนเดียว
ในรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ต่างๆ ในประเทศ อย่างเช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ในรัชกาลที่ผ่านมาชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่คือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ในวันนี้กลายเป็นชื่อของวชิราลงกรณ์ นั่นหมายความว่า เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จในการเป็นผู้บริหารหุ้นเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีที่ปรึกษา คณะกรรมการ ผู้จัดการอะไรใดๆ เลย – แล้วเขาเองมีความรู้ในการดำเนินธุรกิจต่างๆ เพียงใดกันเล่า?
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักนั้น รวมถึงองคมนตรี สำนักพระราชวัง มหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่อยู่หลายหมื่นคนก็กลับมาขึ้นตรงอยู่กับกษัตริย์เพียงคนเดียว โดยที่เขาจะแต่งตั้ง หรือลดตำแหน่งใคร เมื่อไหร่ก็ได้ตามอัธยาศัย ทั้งๆ ที่รายจ่ายของหน่วยงานเหล่านี้มาจากภาษีของประชาชน และการตั้งกองกำลังเป็นของตัวเองนั้น ชี้ให้เห็นว่าเขามีอำนาจพอที่จะกระทำการรัฐประหารเมื่อไหร่ก็ได้ แม้ในหลายทศวรรษที่ผ่านมากองกำลังตำรวจนั้นยังพอจะยืนหยัดอยู่ข้างประชาชนบ้าง แต่ในยุคของวชิราลงกรณ์ เราไม่อาจจะหวังอะไรจากตำรวจได้ เพราะเขาก็ได้รวบอำนาจตำรวจไว้ โดยกำลังจะแต่งตั้งคนของตัวเอง พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบช.ก. และพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เป็น ผบ.ตร. เรียกได้ว่าคุมอำนาจทุกอย่างไว้ได้เบ็ดเสร็จแล้ว
นี่ยังไม่รวมถึงความพยายามที่จะลบเลือนอดีต ร่องรอยของคณะราษฎรที่นำการปกครองแบบประชาธิปไตยมาสู่ประเทศไทย เปลี่ยนพวกนิยมประชาธิปไตยให้เป็นคนล้มเจ้า และเชิดชูกบฎฝ่ายอำนาจนิยมอย่างบวรเดชให้เป็นวีรบุรุษ วชิราลงกรณ์ยังแสดงอำนาจด้วยการบังคับให้ใส่เครื่องแบบ ตัดผมขาวสามด้าน ยืนท่ายกอกอึ๊บ ซึ่งหลายๆ อย่างดูน่าขบขันมากกว่าน่านับถือ แต่ภายใต้ความน่าหัวร่อนั้นแท้จริงแล้วนี่คือวิธีการล้างสมองทาสอย่างดี ไม่ว่าคำสั่งจะน่าสมเพชเพียงใด หากนายสั่ง ทาสพวกนี้ก็จะยอมปฎิบัติโดยไม่ลังเลสงสัย
ในระดับการเมืองวชิราลงกรณ์ก็ลงหมากเอาไว้ อย่างกรณีพรรคไทยรักษาชาติ ที่ปล่อยให้ทูลกระหม่อมหญิงลงเป็น candidate เพื่อตัดกำลังของพรรคไทยรักไทยเก่า ให้มาลงเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักษาชาติ แล้วก็สั่งให้ยุบพรรคแบบฟ้าผ่า ส่งผลให้คะแนนเลือกตั้งแตก จนทำให้พรรคพลังประชารัฐเล่นแร่แปรธาตุได้มาเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลในที่สุด
และที่เป็นประเด็นร้อนแรงในขณะนี้ก็คือ เรื่องของผู้หญิงที่เขาแต่งตั้ง ปลดออก และแต่งตั้งใหม่ ราวกับสิ่งของไร้จิตใจ
ตลอดระยะเวลาสามปีกว่าที่ทรงครองราชย์มา ประชาชนชาวไทยนอกจากจะไม่ได้รับชีวิตที่ดีขึ้น ยังถูกกดขี่ข่มเหงจากนักการเมืองสายทหาร และยังต้องเผชิญกับวิกฤติฝุ่นในอากาศ น้ำท่วม ฝนแล้ง เศรษฐกิจตกต่ำเรื้อรัง แล้วยังจะมีโรคระบาดอีก แต่ทางราชสำนักก็หาได้ใส่ใจไม่ เพียงแต่สนใจความสุขสำราญของตน และคิดวางแผนรวบอำนาจเบ็ดเสร็จก็เท่านั้น
กษัตริย์(เชื้อ)สายเปย์
ยุโรปนั้นดูเหมือนจะเป็นแดนสวรรค์ของเจ้าไทย ในตำราเรียนล้างสมองปลูกฝังให้เรารับรู้แต่ด้านดีๆ ของจุฬาลงกรณ์ หรือรัชกาลที่ 5 ว่าเขาคือนักปฎิรูป นักพัฒนา แต่แท้ที่จริงเบื้องหลังการปฎิรูปประเทศต่างๆ นั้น ก็ทำไปเพื่อขยายฐานอำนาจของตน เช่นการส่งลูกไปเรียนยุโรปแล้วกลับมาปกครองประเทศ การให้เจ้าเมืองต่างๆ ส่งลูกสาวมาแต่งงานกับตนเพื่อเป็นตัวประกันว่าจะไม่กระด้างกระเดื่อง แม้แต่การสร้างเครือข่ายรถไฟ ก็เป็นไปเพื่อการรักษาดินแดนของตัวเอง
การเดินทางของรัชกาลที่ 5 มายุโรป เราเรียนรู้จากหนังสือว่าเป็นการเจริญสัมพันธไมตรี และได้รับเกียรติต้อนรับจากกษัตริย์ยุโรปเป็นอย่างดี แต่ในความจริงอีกมุมหนึ่งนั้น การต้อนรับ และความสนใจในตัวกษัตริย์จากดินแดนสุดขอบโลก แท้จริงแล้วเป็นผลจากทรัพย์สมบัติที่พระองค์นำมาด้วยนั่นเอง
แม้ในยุคปี คศ. 1907 เรื่องราวของกษัตริย์ไทยนักชอปก็ยังกระฉ่อนจากยุโรปไปถึงสหรัฐอเมริกา โดยรายงานข่าวบรรยายถึงกษัตริย์ไทยที่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยโดยซื้อเพชร เครื่องทอง และเครื่องเงินจากเบอร์ลินไปถึง 3 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งค่าเงินในขณะนั้นจะซื้อทองคำได้ราว 4,514 กิโลกรัม* คิดเป็นเงินปัจจุบัน (ปี 2020) ได้ราว 282 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ ราวๆ 8.83 พันล้านบาทไทย
*ข้อมูลจาก https://onlygold.com/gold-prices/historical-gold-prices/, https://www.plazagold.com/, https://goldprice.org/
ไร้บุรุษคู่แข่ง
หากจะพิจารณาวงศาคณาญาติของวชิราลงกรณ์แล้ว รอบตัวของเขามีแต่ลูกสาว และพี่น้องผู้หญิง ทั้งๆ ที่เขามีลูกชายอยู่หลายคน แต่หากไม่ถูกทอดทิ้งหรือเนรเทศแล้ว ก็ดูไม่มีความสามารถที่จะเป็นเสี้ยนหนามของเขาได้ เป็นไปได้ไหมว่านี่คือการกำจัดคู่แข่ง ไม่ให้ประชาชนได้มองเห็นตัวเลือกอื่นที่ดีกว่าเขา
แต่ในที่สุดเขาเองก็ตกอยู่ใต้อำนาจผู้หญิง อาจจะด้วยความหลง หรือความสนุก แต่ในหลายปีที่ผ่านมา เราจะเริ่มเห็นภาพการแต่งกายที่หลุดโลกของวชิราลงกรณ์บ่อยมากขึ้น และดูเหมือนว่าเขาก็เพิ่งมาเป็นเอาตอนที่คบกับหม่อมก้อยนี่เอง
นอกจากคู่แข่งทางอำนาจนิยมแล้ว เขายังกำจัดคู่แข่งทางประชาธิปไตย โดยจะเห็นได้จากการที่มีนักการเมืองที่มีความสามารถหลายคนถูกกำจัดออกจากระบบการเลือกตั้ง คนแล้วคนเล่า เหลือแต่จำพวกที่เขาเลือกมาเป็นรัฐบาล นั่นก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
การถวายสัตย์สุดอื้อฉาวของประยุทธ์นั้นถูกตีมึนทำให้เป็นเรื่องเล็ก แต่ที่ไม่เล็กคือข้อความที่ประยุทธ์ตกหล่นไปจากคำถวายสัตย์ “ทั้งจะรักษาไว้และปฎิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” หากนี่คือความตั้งใจแล้ว แสดงว่าประยุทธ์พร้อมที่จะฉีกรัฐธรรมนูญ ทำรัฐประหารซ้ำ ตามคำสั่งของนายเหนือหัวได้ทุกเมื่อโดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของประชาชน
พฤติกรรมติดผู้หญิงของวชิราลงกรณ์นั้น ถูกยอมรับโดยแม่ของเขาเอง โดยเธอให้สัมภาษณ์กับสื่อในสหรัฐอเมริกาว่า “ถ้าประชาชนชาวไทย ไม่ยอมรับความประพฤติของพระราชโอรสคือองค์มกุฎราชกุมาร เขาก็ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือไม่ก็ต้องลาออกจากพระราชวงศ์” “ลูกชายของฉัน, มกุฎราชกุมารเป็นดอนฮวนบ้างเหมือนกัน”
มาถึงวันนี้แม่ผู้ให้สัมภาษณ์ในวันนั้นอาจจะไม่รับรู้ถึงพฤติกรรมของลูกชายแล้ว ตัวลูกชายก็ยังคงความเป็นดอนฮวนโดยไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าประชาชนจะรับไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้ยี่หระแต่อย่างใด แม้เขาจะครองมงกุฎกษัตริย์และมีราชินีเป็นตัวตน เขาก็ยังหลงใหลในอิสตรีวัยอ่อนกว่าลูกที่หมุนเวียนมารับใช้ไม่ขาดสาย และแม้ว่าเขาจะดูจริงจังกับคุณพระก้อยจนขาดเธอไม่ได้ แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน มหากาพย์ความรักของวชิราลงกรณ์และชะตากรรมอันน่าเศร้าของประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ในตอนต่อไปเราจะมาพบกับเรื่องราวชีวิตการแต่งงานทั้งสี่ครั้งของกษัตริย์ไทยผู้อื้อฉาวกัน