แอคชั่นเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย
แอคชั่นเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย
Action for the People Democracy in Thailand
การสมานฉันท์นานาชาติกับประชาชนในประเทศไทย ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องขจัดความไม่เป็นประชาธิปไตย และกลเกมการเมืองที่ฉ่้อฉลในประเทศไทยให้จบสิ้นกันไปเสียที
เพียงแค่ 15 ปีหลังจาะการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบบ ประชาธิปไตยในปี 2475 การเติบโตของระบบประชาธิปไตยของไทยต้องชะงักงันเพราะรัฐประหารปี 2490 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพัฒนาการด้านประชาธิปไตยของไทยเป็นไปอย่าง ทุลักทุเล ประหนึ่งราวกับการ โลดเต้นไปกับเหล่าบรรดาจอมพล ก้าวหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังหนึ่งก้าว
นับตั้งแต่ปี 2475 ขั้วอำนาจเผด็จการในสังคมไทย กองทัพ “แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ได้ใช้ ทุกหนทางที่จะกดทับและชะลอพัฒนาของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน และพวกพ้อง และนำมาซึ่งความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของคนทั้งชาติ รัฐบาลพลเรือนที่ได้ รับเลือกตั้งเข้ามาต่างก็ถูกปล้นอำนาจเพียงไม่กี่เดือนที่บริหารประเทศ โดยกองทัพที่ได้รับการหนุนหลัง จากกองทัพสหรัฐฯ ที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพเพื่อต่อสู้กับกองกำลังเวียตนาม กว่าสองทศวรรษแห่ง ยุคสงครามเย็น กองทัพใช้เงินอุดหนุนหลายพันล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ ไปกับการปลุกและสร้าง กระแสคลั่งสถาบัน เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจของเหล่าทัพ เมื่อปลายปี 2518 ในช่วงระยะ เวลาสั้นๆ ที่ประเทศไทยมีรัฐบาลพลเรือน กองทัพสหรัฐฯ ได้ถูกสั่งให้ถอนฐานทัพออกไปจากประเทศไทย หลังจากถูกตีพ่ายจากเวียดนาม ความรุนแรงในการยึดอำนาจและปราบปราบประชาชนในปี 2519 ก็เพื่อที่กองทัพจะสร้างหลักประกันว่าจะสามารถเกาะกุมทรัพยากรและงบประมาณ ของชาติไว้ให้ได้ (แทนที่งบอุดหนุนจากสหรัฐฯ ที่ลดทอนลงไปเมื่อสหรัฐฯ ถอนฐานทัพออกไปแล้ว) พัฒนาการของประ ชาธิปไตยไทยจึงติดลบมาโดยตลอด อันส่งผลสู่การลุกขึ้นสู้และถูกปราบอย่างรุนแรงในเดือนพฤษภาคม ปีนี้ ทั้งนี้ทุกครั้งที่เกิดรัฐประหาร งบประมาณของกองทัพจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน นับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 งบประมาณของกองทัพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในรัฐบาลชุดปัจจุบันจากแปดหมื่นกว่า ล้านบาทเป็นเกือบ สองแสนล้านบาท
กระนั้นก็ตาม ขบวนการประชาธิปไตยที่เริ่มด้วยกลุ่มคนหนุ่มที่มีการศึกษาเพียงไม่กี่คนในปี 2475 ได้เติบ โตมาเป็นการลุกขึ้นสู้ของนักศึกษาในทศวรรษ 2513 และเติบโตและชนชั้นชาวนาและกรรมาชีพทั้งจาก ชนบทและในเมืองก็เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้สามารถขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหาร ได้สำเร็จในปี 2535
ประเทศไทยได้ประจักษ์ถึงการลุกขึ้นสู้และการถูกปราบปราบหลายครั้ง 2516 2519 2535 2552 และ 2553 และนับตั้งแต่แรกเลยทีเดียว สังคมไทยได้บันทึกเรื่องราวของการปราบปราบ ทำร้าย จับกุม คุมขัง สูญหาย หรือต้องลี้ภัยออกจากดินแดนแห่งรอยยิ้ม ของทั้งนักการเมือง อาจารย์ นักศึกษา สื่อมวลชน ชาวนา และกรรมกร ที่กล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรมและประชาธิปไตย ภายใต้พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ในปี 2553 ประเทศไทยต้องประสบกับความรุนแรงที่สุดของการปราบปรามจนมีผู้เสียชีวิต 90 คน และร่วมสองพันคนได้รับบาดเจ็บ ประชาคมโลกที่ได้ปล่อยให้ ผู้นำเหล่าทัพและคนชั้นสูงในนาม สถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ทำการปกปิดความป่าเถือนของพวกเขาไว้ และแกล้งทำประหนึ่งว่าทุกอย่าง กลับคืนสู่สภาวะปกติ อยู่ภายใต้การควบคุม มานานเกินพอแล้ว และควรจะลุกขึ้นมาบอกว่ามันทำไม่ได้ อีกต่อไปแล้ว พอกันที
รัฐบาลกษัตริย์นิยมในปัจจุบันยังคงไว้ซึ่ง พรก. ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ และอีก 16 จังหวัด โดยเฉพาะจังหวัด ในภาคเหนือและภาคอีสาน ทหารถูกส่งเข้าไปยังหมู่บ้านของคนเสื้อแดง และมีการระดมชาวบ้านนับพัน คนในแต่ละอำเภอโดยงบประมาณของรัฐบาลในนามการรณรงค์เพื่อ “ปกป้องสถาบัน”
มีข่าวเกี่ยวกับการสังหารหรือพยายามสังหารแกนนำเสื้อแดงในระดับจังหวัด เท่าที่ทราบมีแกนนำเสียชีวิต สองราย และมีการพบศพคนเสื้อแดงโพล่ที่หาดพัทยา รัฐบาลอภิสิทธิได้จับกุมคนกว่า 400 คน ในจำนวนนี้ ร่วม 40 คน เป็นแกนนำแถวหน้าของคนเสื้อแดง ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยและนักกิจกรรม ที่ถูก จับกุมและคุมขังโดยไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหา เพียงเพราะพวกเขาลุกขึ้นพูด หรือเข้าร่วมประท้วงรัฐบาลโดย สันติวิธี มีเวบไซด์กว่าแสนแห่งถูกปิด วิทยุชุมชนหลายแห่งถูกค้นและถูกสังปิด เป็นต้น
นับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมาประชาชนชาวไทยต้องเผชิญกับการปฏวัติและรัฐประหารกว่า 20 ครั้ง รัฐ ธรรมนูญ 18 ฉบับ นายกรัฐมนตรี 27 คน – คนที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดส่วนใหญ่เป็นจอมพลหรือนายพล แห่งกองทัพบก – ในช่วง 78 ปีแห่งการสร้างประชาธิปไตยของไทยมีนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวที่สามารถ บริหารงานครบวาระสี่ปี
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยใช้เวลานานเหลือเกินที่จะสามารถผงาดเป็น ประเทศที่มีประชาธิปไตย โดยสมบูรณ์ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจอาจจะด้อยกว่าไทย แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงการ มุ่งมั่นที่จะสร้างและมีพัฒนาการด้านประชาธิปไตยที่ก้าวหน้ากว่าไทยมากนัก?
ผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในสังคมไทยได้ใช้งบประมาณจากภาษีประชาชนจำนวนมหาศาล เพื่อโปรโมต และ สร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้ข้ออ้างเพื่อ “ความมั่นคงแห่งชาติ” และได้ปิดกั้น เสียงที่คัดค้านด้วยกฎหมายแห่งยุคโบราณ “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง กันไปทั้งสังคมไม่ว่าคนรวยหรือคนจน
สงครามเย็นได้ยุติไปนานแล้ว และโลกภายนอกไม่สามารถเพียงแต่นั่งมองและยอมให้การคอรัปชั่น และ อาชญากรรมในการเมืองไทยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ทำไมเราจึงต้องรณรงค์เพื่อประเทศไทย?
เพื่อความสงบสุขของประชาชนคนไทย และประชาชนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เวลาที่จะยุติเกมการ เมืองที่งี่เง่าในประเทศไทยได้มาถึงแล้ว ประชาคมนานาชาติจะต้องยุติการเล่มเกมไปกับการเมืองที่ คอรัปชั่นของประเทศไทย หยุดใช้ประเทศไทยเป็นเขตกันชนและเป็นแม่ข่ายทุนนิยมเพื่อส่งเสริมการเมือง เสรีนิยมที่ล้าสมัย ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อบดขยี้วิถีประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่าง แท้จริง ยิ่งแทบไม่ต้องพูดเลยว่าเหตุการณ์การปราบปราบประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่าใน ประเทศไทย เกิดขึ้น ต่อหน้าต่อตาของสำนักงานภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกขององค์กรสหประชาชาติที่ตั้ง อยู่ที่กรุงเทพฯ
มันเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่ผู้สนับสนุนคำกล่าวที่ว่า “โลกนี้ฟรี” พยายามที่จะสร้างบรรยากาศแห่งวิถีธุรกิจ ให็เป็นไป “ตามปกติ” แทบจะทันที่หลังจากที่ศพถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ โดยไม่ได้ลุกขึ้นมาประท้วง รัฐบาลอย่างจริงจังถึงการใช้ความรุนแรงต่างๆ และการออกใบอนุญาต “เขตกระสุนจริง” เพื่อใช้กับ ประชาชนของตัวเอง
เช่นเดียวกับในอดีต แม้ว่าจะมีประจักษ์พยายานจำนวนมาก รวมทั้งภาคถ่าย คลิปวีดีโอ ร่วมทั้งปากคำ ของเหยี่อกระสุนและความรุนแรง แต่ก็ไม่มีทหารหรือรัฐบาล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังแม้แต่ คนเดียวที่ก้าวออกมารับผิดชอบต่อเหตุการณ์การสังหารประชาชน 90 คนตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ผู้บาดเจ็บจำนวนหลายคนพร้อมจะให้ปากคำ แต่รัฐบาลที่ไร้ซึ่งความชอบธรรมนี้ก็ยังคง พรก. ฉุกเฉินไว้ต่อ ไป เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนมีเสรีภาพในการรวมตัวกันและแสดงออกซึ่งความคิด เห็น พร้อมทั้งเพื่อเปิด ช่องให้สามารถส่งทหารเข้าไปคุกคามประชาชนยังบ้านเรือน
เราจำต้องร่วมกันรณรงค์กับนานาชาติเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยมีข้อเรียกร้องที่ชัดเจนตาม หลักสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ การรณรงค์นี้มุ่งที่การกดดันข้อเรียกร้อง เพื่อให้ประเทศไทยปฏิบัติ ตามหลักการแห่งสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรมและอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่แท้จริง
มาติน ลูเธอร์ คิงส์ กล่าวว่า “ความอยุติธรรมเกิดขึ้นที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อความยุติธรรมในทุกแห่งหน”
โทมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐอเมริกากล่าวว่า “เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การต่อต้านก็จะกลายเป็นหน้าที่”
**********
ความเป็นมา
ACT4DEM ก่อตั้งขึ้นในช่วงการสังหารหมู่ประชาชนโดยกองทัพรักษาพระองค์ที่กรุงเทพฯ เมื่อช่วง 13- 19 พฤษภาคม 2553 ภายใต้ชื่อ ACT4DEM เ– แอคชั่นเพื่อประชาธิปไตย ราได้ทำการรณรงค์ให้คนร่วมลงชื่อเรียกร้อง ‘Stop the Bloodshed in Thailand’ “หยุดการนองเลือดที่ประเทศไทย ในวันที่ 16 พฤษภาคม การรณรงค์ครั้งนี้ถูกบล็อคหลังจาก 2 วันที่เปิดรณรงค์ โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กระนั้นก็ตาม ก็ยังมีผู้ร่วมลงชื่อถึง 9,416 คน ซึ่งข้อเรียกร้องเหล่านี้ได้มีการถูกนำเสนอถึงบันคีมูน ผ่านทางสำนักงาน UN ที่กรุงเทพ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2553
เมื่อปี 2553 ACT4DEM ได้ประกาศวาระการต่อสู้ไว้ดังนี้
- ตีแผ่ต้นต่อปัญหาวิกฤติประเทศไทย
- รณรงค์ให้มีการปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังเพราะมาตรา 112
- ระดมการสนับสนุนช่วยเหลือนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและผู้ลี้ภัยการเมืองไทย – ทั้งที่สู้อยู่ในประเทศไทย และลี้ภัยไปต่างประเทศ ทั้งผู้ที่ถูกทำให้เป็นอาชญากร ถูกซ้อมทรมาน หรือถูกคุมขัง ด้วยระบอบทหารของกษัตริย์
- เผยแพร่ข้อเท็จจริงของผู้ได้รับผลกระทบจากรอยัลลิสต์ จากการเมือง จากรากหญ้า เพื่อตอบโต้การพยายามกลบเกลื่อน ปิดกั้น และการโฆษณาชวนเชื่อที่บิดเบือนข้อเท็จจริงของเผด็จ
- การแสดงให้สาธารณชนเห็นปัญหา ด้วยการพยายามนำตัวผู้กระทำความรุนแรงต่อประชาชนในนามขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม (รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายทหารระดับสูงไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ ในกรณีสังหารคนเสื่อแดงเมื่อปี 2553)
- สร้างความมั่นใจว่าประชาสังคมอาเซียนและะนานาชาติ และสหประชาชาติ จะไม่สามารถอ้างต่อไปว่า ไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับการปิดกั้นเสรีภาพประชาชนในประเทศไทย ของระบอบทหารของพระราชา
- สร้างการตื่นรู้ในหมู่ธุรกิจการท่องเทียว และการรณรงค์กับนักท่องเที่ยว เพื่อให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่สามารถอ้างได้ว่า ไม่รู้เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
- การจัดทำเวบไซด์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลต่อเนื่อง (at that time: http://hirvikatu10.net/timeupthailand/)
ในปี 2553 เรามีข้อเรียกร้องดังนี้
In 2010 the Campaign Demands were as follows:
- ทำให้ทุกองคาพยพของกระบวนการปกป้องสถาบันกษัตริย์ ทั้งโดยรัฐบาล โดยการสนับสนุนของรัฐบาล และโดยการโฆษณาชวนเชือ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
- ความยุติธรรมและค่าชดเชยให้กับเหยื่อจากการปราบปรามของรัฐ รวมทั้งครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากการถูกปราบปรามโดยรัฐเมื่อปี 2553
- ปล่อยนักโทษการเมืองและนักโทษหมิ่นสถาบันกษัตริย์ทุกคน
- ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
- ยกเลิกองคมนตรี
- ยุติการให้อำนาจสถาบันกษัตริย์ในการแทรกแซงและมีอิทธิพลต่อการตัดสินนโยบายทางการเมือง
กิจกรรมหลักๆ ของ ACT4DEM นับตั้งแต่ปี 2010 – 2020 ประกอบด้วย
2553 การรณรงศ์รายชื่อถึง UN เรียกร้องให้หยุดการนองเลือดในประเทศไทย
การรณรงค์ให้ปล่อยนักโทษการเมืองและรณรงค์ให้ยกเลิกมาตรา 112
การใช้โซเชียลมีเดียทุกช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลและบทวิเคราะห์และแอคชั่นต่างๆ
2554 เริ่มรวบรวมรายชื่อผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามสิทธิและสรีภาพในประเทศไทย รายงานในเอกสาร “70 ปีภายใต้การคุกคามสิทธิและเสรีภาพในประเทศไทย’
2554 รณรงค์สากลเพื่อเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112 และรณรงค์ลงชื่อยกเลิกมาตรา 112 เพื่อยื่นให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
2555 จัดทำและตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการเมือง และปัญหาแรงงานไทย พิมพ์หนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ”
2556 สนับสนุนการต่อสู้เพื่อสิทธิแรงงานของคนงานเก็บเบอร์รี่ไทยที่ฟินแลนด์และสวีเดน
2557 ประท้วงรัฐประหารขออง คสช. – ประท้วงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มิลาน อิตาลี
2559 สิบปีรัฐประหารไทยประท้วงหน้าสถานทูตไทย ณ ปารีส + ร่วมเวทีอภิปรายหลายครั้งเรื่องการเมืองไทยภายใต้เผด็จการทหาร ทั้งที่ฝรั่งเศสและเยอรมนี
2560 ประท้วงกษัตริย์ไทย หน้าที่พักที่เมือง Tutzing และที่สำนักเลขากษัตริย์ มิวนิคโอเปอร์เรชั่น ณ โรงแรมฮิลตันแอร์พอร์ท สนามบินมิวนิค
2561 จัดทำสถานี ACT4DEM ที่ YouTube + การประท้วง ASEM ที่เบลเยี่ยม ร่วมเดินสายพบสหายแรงงานในยุโรป
2562 รณรงค์ #saveไฟเย็น และผู้ลี้ภัยไทยที่ประเทศเพื่อนบ้าน – คอนเสิร์ตไฟเย็น และกิจกรรม 6 ตุลาฯ หน้าสถานทูตไทย ที่ปารีส
2563 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม รณรงค์ประท้วงกษัตริย์ไทยอย่างต่อเนื่องที่เยอรมนี
2020 ACTION REPORT – รายงานกิจกรรมปี 2563
การทำรัฐประหารเพื่อโค่นรัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ประเทศไทยในปี 2549 และ 2557 และการกลับมาของระบอบเผด็จการทหาร ในทางพฤตินัยได้ผลักดันให้ประเทศไทยถอยหลัง – สุ่หล่มทางการเมืองที่กองทัพบกไทยก่อขึ้นมาเอง การขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์คนใหม่ในประเทศไทย ทำได้เพียงเปิดเผยต่อโลกอย่างต่อเนื่อง ให้เห็ฯโฉมแห่งความหายนะที่ก่อขึ้นโดยเผด็จการคณะล่าสุดในประเทศไทย
หยายทศวรรษอันต่อเนื่องยาวนาน ที่เต็มไปด้วยความโกลาหล โศกนาฏกรรม และการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศไทยให้เป็นอิสระจากการยึดครองของระบอบทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว – จากเผด็จการทหารที่หวังจะปกป้องรักษาสถาบันกษัตริย์ด้วยวิถีเผด็จการมากขึ้น พร้อมทั้งการคอรัปชั่นอย่างเปิดเผยมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ได้นำพาผู้คนส่วนใหญ่ไปสู่การตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่อาจโต้แย้งได้ด้วยตรรกะและเหตุผลว่า: ถึงเวลาของการรณรงค์อย่างเปิดเผยเพื่อปลดปล่อยประเทศไทยออกจากการเป็นไข่แดงของสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว การเดินทางที่ยาวนานของ ACT4DEM บนการศึกษาวิจัยและการลงพื้นที่ นำไปสู่ข้อสรุปแบบเดียวกันว่า – ในความจริงแท้นนั้น การยกเลิกสถาบันกษัตริย์ไทย เป็นเงื่อนไขแรกที่สำคัญยิ่ง ต่อความสำเร็จของการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในประเทศไทย
หลังจากการรณรงค์ #saveไฟเย็น จากประเทศลาว ที่มีสมาชิกอยู่ใน ‘รายชื่อที่จะต้องถูกกำจัด’ จนมาถึงปารีสอย่างปลอดภัยในเดือนสิงหาคม 2562 ACT4DEM ตระหนักดีว่าจำเป็นต้องทบทวนวิธีการรณรงค์ทั้งในยุโรปและในอาเซียน เพื่อชัยชนะแห่งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรมในประเทศไทย
จากการศึกษาค้นคว้าของเรา มันบ่งชี้ว่ากษัตริย์วชิราลงกรณ์ ผู้เป็นประมุขของประเทศไทย มีความน่าสงสัยในอาชญากรรมหลายด้าน มันจึงมีมีความจำเป็นที่จะต้องนำตัวเขาเข้าสู้กระบวนการยุติธรรมเพื่อการไตร่สวน เรื่องนี้ก็เป็นงานสำคัญที่จะต้องทำ
การรณรงค์ที่เยอรมนีเพื่อนำตัวกษัตริย์ไทยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและการต่อสู้เพื่อหยุดระบอบเผด็จการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผู้ที่กฎหมายไทยไม่อาจแตะต้องได้ เมื่อขึ้นส่ราชบัลลังก์ กษัตริย์คนใหม่นี้ พำนักอาศัยอยู่ในประเทศเยอรมนีตั้งแต่ปี 2550 ในสมัยที่ยังเป็นมกุฎราชกุมาร ที่ยังคงและจินตนาการว่าเขาจะทำอะไรอย่างไรก็ได้ตามพระราชอัธยาศัยในประเทศเยอรมนีในฐานะประมุขแห่งรัฐของประเทศไทย
เมื่อปลายเดือนเมษายน 2563 ACT4DEM ได้รับการติดต่อจาก PixelHELPER องค์กรเยอรมันเพื่อร่วมรณรงค์เปิดโปงกษัตริย์ไทยตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามที่เขาหลอกลวง PixelHELPER เป็นกลุ่มศิลปินอิสระในเยอรมนี ที่ทำการสื่อสารด้วย ภาพ ดนตรี และการเสียดสี เพื่อต่อต้านความอยุติธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อต้านทรราชย์
ทั้งสององค์กรต่างก็ตระหนักว่า กษัตริย์ไทยเป็นอาชญากรที่ควรได้รับการลงโทษในความผิดหลายด้าน รวมถึงความรับผิดชอบในการฆาตกรรมคนหลายคน ทั้งสององค์กรยอมรับว่า การที่เขาได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งโบราณกาลอันป่าเถื่อน โดยที่ยังมีอำนาจตรงในทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้าน (ยูโร) และอำนาจการบังคับบัญชาโดยตรงไปยังกองทหารรักษาพระองค์กว่า 80,000 นาย บุคคลผู้ที่ได้รับการคุ้มครองแน่นหนาขนาดนี้ คือผู้ที่ดำรงฐานะประมุขแห่งรัฐ เขาจึงเป็นอุปสรรคสำคัญยิ่ง ที่ปิดกั้นกระบวนการสันติวิธีที่จะนำพาประเทศพัฒนาไปสู่ความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเสมอภาค และกระบวนการยุติธรรมที่เที่ยงธรรมในประเทศไทย
ก่อนหน้ารณรงค์ประท้วงกษัตริย์ไทย PixelHELPER ไม่เป็นที่รู้จักในประเทศไทยมาก่อน ได้รับเกียรติในการเป็นองค์กรพลเมืองแห่งแรกในยุโรปที่มีความกล้าหาญที่จะก้าวออกมาข้างหน้า เพื่อปฏิบัติการเปิดโปงความย้อนแย้ง และสภาวะอันเป็นอันตราย จากการอนุญาตให้ประมุขแห่งรัฐของไทย มาพำนักอยู่ในเยอรมนี และสามารถกำกับการก่ออาชญากรรมจากที่ประเทศนี้ได้
การทำงานร่วมกันระหว่าง ACT4DEM และ PixelHELPER เป็นกระบวนการเรียนรู้วิธีการบุกเบิกการประท้วงทางการเมืองในด้านภูมิศาสตร์การเมือง ที่ได้รับอนุญาตให้หลับไหลด้วยความเพิกเฉยทางศีลธรรม อันเนื่องจากเพราะชาวตะวันตกหลายล้านคนเริ่มคุ้นเคยกับการยอมให้พวกเขาใช้ประโยชน์เพื่อความสุข ราวกับว่ามันเป็นสิทธิ เพราะสุญญากาศแห่งประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่ได้สร้างและดำรงไว้โดยราชวงศ์ ที่ปราบปรามความปรารถนาถึงประชาธิปไตยของประชาชนคนไทยได้สำเร็จ
จุดมุ่งหมายของการรณรงค์นี้คือการดึงความสนใจของประชาชนชาวเยอรมันและชาวยุโรป ให้เข้าใจความขัดแย้งและการเมืองสามมาตรฐานทั้งในประเทศไทย เยอรมนี และยุโรป ที่อนุญาตให้กษัตริย์ไทยใช้เยอรมนีเป็นสถานที่หลบภัยสำหรับการดื่มด่ำกับจินตนาการอันไร้สาระของพระองค์ และสำหรับการวางแผนและดำเนินปฏิบัติการสังหารพวกพ้องและฝ่ายตรงข้ามกับระบอบการปกครองของเขาในประเทศไทย
นอกจากอารมณ์ขันแล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์หลักของแคมเปญยังเป็นเครื่องฉายแสง – สำหรับฉายข้อความเหน็บแนมบนอาคารที่เกี่ยวข้องเช่นอาคารบริหารของเยอรมันและไทย ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม การคาดการณ์แสงเหล่านี้ตลอดจนการประท้วงและเหตุการณ์บนท้องถนนได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกสัปดาห์ การรณรงค์ไม่ดำเนินการใด ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางการเยอรมนี
เอกสารการรณรงค์และเหตุการณ์ต่างๆ ได้เข้าถึงผู้คนหลายล้านคนในเยอรมนีและไทยและทั่วโลก เพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นจริงทางการเมืองในประเทศไทย และเข้าใจว่าการปฏิบัติของกษัตริย์ไทยและระบอบทหารของพระองค์เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในกระบวนการร้องทุกข์ของเรา ได้กำลังมีการดำเนินการสืบสวนข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำทางอาญาอย่างเป็นทางการ