18 กุมภาพัันธ์ 2555
จรรยา ยิ้มประเสริฐ
แผนผังเพื่อของการศึกษาและความเข้าใจการเมืองการปกครองไทยโดยนักสังคมศาสตร์
ขออนุญาตแบ่งปันเพื่อการศึกษา และถ้าท่านผู้ใดสามารถเอาไปต่อยอดและออกมาสวยงามกว่านี้ก็ยิ่งดี ความดีงามจะสูญเปล่าถ้ามันถูกจำกัดอยู่แต่ตัวคนผู้เดียว ต้องช่วยกันแชร์ ช่วยกันแบ่งปัน ช่วยกันรับความดีความชอบของความดีงาม ไม่ต้องมอบเกียรติคุณใดๆ เฉพาะกับข้าพเจ้าเพียงผู้เดียว
พวกเราต้องส่งเสริมการยุติการถือดีถือมั่นแต่ตัว ต้องถือว่าท่านที่พัฒนาตัวเอง สร้างการตาสว่างให้กับคนอื่น คือการกระทำดีเพื่อการพัฒนาก้าวหน้า การพัฒนาก้าวหน้าก็จะบังเกิดจากประชาชนในชาติฉลาด ไม่หลงมัวเมาในมายาภาพ เมื่อประชาชนพากันฉลาด ชาติก็จะเจริญ สุขเสถียรมั่นคง ทัดเทียมอารยะประเทศ เมื่อประชาชนทั้งประเทศพากันฉลาดหลักแหลม รู้เท่าทันตนเองและผู้อื่น ทั้งในชาติตัวเอง และในประเทศอื่นนั่นแล คือการตอบแทนบุญคุณแผ่นดินเกิดที่ดีที่สุด ที่สมควรได้รับการยกย่องชื่นชมมากที่สุด.
ทั้งนี้ ผสกนิกรไทยต้องร่วมกันแซ่ซร้องสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์ไทยที่ได้แผ่ไพศาลไปทั่วโลก และพระองค์ได้ร่วมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ด้วยการที่ทรงได้รับการจัดอันดับว่ามั่งคั่งที่สุดในหมู่กษัตริย์ทั่วโลกถึง 4 ปีซ้อน (2551 – ปัจจุบัน)
– – – – – –
อนึ่ง การอธิบายการเมืองแบบไทยๆ อย่างรวบรัด บนสีธงชาติไทยนี้ เกิดจากการใช้สีธงชาติซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์แห่งความเป็นชาติไทยมาใส่บทวิเคราะห์ลงไปที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแห่งวิถีชนชั้น และประเด็นปัญหาทางการเมืองไทยในปัจจุบัน โดยอธิบายความซับซ้อนของการเมืองไทยเป็น 3 ขั้นระดับคือ
1. กดขี่ขูดรีดทางชนชั้น (ชนชั้นสูง 20% ต่อชนชั้นล่าง 80%)
2. การมอมเมาต่างๆ ทั้งทางศาสนาที่ถูกผูกโยงกับราชอาณาจักรจนบ่มเพาะแต่ความกลัวและความเส่ือม . . การที่คนรวยที่สุดอันดับต้นๆ ในประเทศคือผู้มั่งคั่งจาก เหล้า การพนัน หวย ซ่อง บ่อน และเงินเหล่านี้ ก็ถูกนำมาแจกทาน แต่คัดค้านอย่างสุดโต่งต่อการสร้างรัฐสวัสดิการที่สร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตให้กับประชาชนทั้งประเทศ
3. การปิดกันสิทธิและเสรีภาพ ด้วยจำนวนนักโทษคนยากคนจนจำนวนมากมากล้นเกินศักยภาพห้องขัง การปฏิบัติต่อนักโทษอย่างเลวทรามแย่ยิ่งกว่าวัวควาย และยังจับเพิ่มเข้าไปดวยนักโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกนับพันคน . . เป็นปรากฎการณ์แห่งความด่างพร้อยต่อชื่อเสียงและเกียรติภูมิแห่งประเทศไทยที่ไม่เหมือนใครในโลกอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ในช่องสุดท้ายแสดงให้เห็นว่า ตลอดหลายสิบปีแห่งการเมืองพูดความจริงไม่ได้ หรือไม่สามารถพูดความจริงได้ ส่งผลลัพธ์ทางรูปธรรมที่เกิดขึ้นกับไทยมากมาย ทั้งฉายาที่ได้จากต่างชาติว่าเป็นประเทศ “ขายยาเสพติด ขายเซ็กส์ และคอรัปชั่น”
เส้นเหลืองแดงอันเป็นเส้นกร๊าฟในภาพนี้ เป็นเส้นประมาณการที่แสดงให้เห็นว่าพัฒนาการของไทยสวนกระแสการพัฒนาตามนิยามแท้จริงที่ควรจะเป็น ที่ควรจะพุงขึ้น ไม่ใช่พุ่งลง ดิ่งลงเหวมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้
กระนั้นชนชั้นนำก็ยังหาละอายใจกันไม่ ยังทำทุกช่องทางเพื่อคำจุ้นระยะห่างแห่งชนชั้น จนช่องว่างทางรายได้ของไทยสูงมากถึง 111 เท่า และความรวย-จนทิ้งช่วงห่างติดอันดับโลก ในขณะที่เสรีภาพสื่อตกอยู่อันดับท้ายๆ ของโลก มาอยู่ที่อันดับ 153 จากจำนวน 178 ประเทศ
การเอาสีธงชาติมาทำอะไรแบบนี้ทำให้ออกมาโดดเด่นได้ยาก แต่ก็ไม่สามารถที่จะไม่พูดถึงการเมืองไทยโดยไม่ดูนิยามแห่งธงชาติ อันเป็นเสาหลักแห่งอุดมการณ์การบริหารบ้านเมืองของไทยในนาม “ชาติ (แดง) ศาสน์ (ขาว) และกษัตริย์ (น้ำเงิน)” ไม่ได้จริงๆ
– – – – – – –
ขอเพิ่มเติมด้วยภาพข้างล่าง ซึ่งแสดงช่องว่างรายได้ระหว่างคนกินค่าแรงขั้นต่ำ (ค่าเฉลี่ย 5,130 บาท/เดือน) กับข้าราชการที่ได้รับเงินเดือนสูงสุดในประเทศและผู้บริหารบริษัท ตัวเลขความแตกต่างระหว่างคนกินเงินเดือนขั้นต่ำกับผู้กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนสูงสุดอยู่ในระหว่าง 22-24 เท่า อันเป็นอัตราที่สูงมาก
กระนั้นบรรดานักการเมืองและข้าราชการระดับสูงก็ยังเรียกร้องเงินเดือนและสิทธิประโยชน์เพิ่มมากขึ้น อ้างกันว่ายังต่ำกว่าผู้บริหารเอกชน ที่ช่องว่างระหว่างคนงานกับผู้บริหารพุ่งสูงสุดถึง 111 เท่า อันนี้ก็ไม่ใช่อุบัติเหตุเก่งและเฮงเองของนายทุนต่างชาติและนายทุนชาติ แต่มีที่มาที่นโยบายทางการเมืองของประเทศไทยต่อต้านวิถีสหภาพแรงงานอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ยอมรับการรวมตัวเป็นสหภาพระดับชาติ ไม่ยอมให้เกษตรกร ชาวนา และคนงานอีกหลายกลุ่มรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานได้
จนสัดส่วนสหภาพแรงงานต่อกำลังแรงงานทั้งประเทศมีเพียง 1.4% น้อยมาก และไม่สามารถทำหน้าที่ต่อรองในระดับชาติได้ เพียงแต่ทำหน้าที่ป้องกันตัวเองไม่ให้นายจ้างเลิกจ้างก็เอาตัวกันไม่รอดอยู่แล้ว
ที่มา: จรรยา ยิ้มประเสริฐ, แรงงานอุ้มชาติ
ประเทศไทยไม่เคยยอมรับอำนาจต่อรองของชนชั้นกรรมาชีพกับทุน และนักการเมืองก็งี่เง่า และเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตัว พากันดำเนินนโยบายอุ้มทุนและเอื้อทุนอย่างสุดโต่งมาทุกยุคทุกสมัย จนค่าแรงขั้นต่ำไทยอยู่รั้งท้ายประเทศใน ASEAN มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เงินเดือนผู้บริหารไทยสูงสุดใน ASEAN และติดอันดับโลก
ขอฉายภาพเพิ่มเติมภาพสุดท้ายด้วยระดับค่าแรงขั้นต่ำเมืองไทย ที่ลอยตัวขึ้นอยู่กับจังหวัด และมีต่างกันถึงกว่า 30 ระดับ และเป็นความโกหกทั้งเพของนักการเมืองที่บอกว่าค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ จริงๆ 300 บาทเพียงแค่กรุงเทพและปริมณฑลรวม 5 จังหวัดเท่านั้น ขณะที่ปล่อยให้นายจ้างในแต่ละจังหวัดอีก 72 จังหวัด กำหนดกันขึ้นมาเองจนเละตุ้มเปะกว่า 30 ระดับเช่นนี้
โปรดอดใจรออ่านรายละเอียดในหนังสือ “แรงงานอุ้มชาติ” ที่มีเนื้อหาร่วม 400 หน้า ที่ได้เปิดโปงถึงกลโกง และวิธีการเอารัดเอาเปรียบแรงงานของทุนและผู้มีอำนาจเมืองไทยอย่างครอบคลุม