จอม’เปิดปากแล้ว!เผยเหตุห่างจอยูทูปแต่ก็ยังจะต่อสู้ต่อไป


หากไม่รักษาปกป้อง“สถาบันกษัตริย์”ด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย จะพา“ไทย”พังทั้งแผ่นดิน
2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หาเวลาไม่ได้เลย ที่จะอธิบายความ ถึงเหตุผลการ“โยนผ้า ขอลาสังเวียน” ในการทำหน้าที่สื่อเลือกข้างฝ่ายประชาธิปไตย ที่ลี้ภัยการเมืองในต่างประเทศเพื่อสู้กับอำนาจเผด็จการชนชั้นหรือเผด็จการราชานิยมในประเทศไทย
หลายสำนักสื่อเสี้ยมที่หนุนเผด็จการต่างพากันมโนกันไป วิจารณ์กันไปต่างนานา ซึ่งก็เป็นธรรมดาเพราะไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนจากผม เลยขออนุญาติอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการอำลาจากหน้า“จอ-คอมฯ”ของผม “จอม เพชรประดับ” ดังนี้นะครับ
ขอเริ่มด้วยเหตุของการตัดสินใจลี้ภัยการเมืองของผมเมื่อ 6 ปีที่แล้วนะครับว่า เพราะต้องการทำหน้าที่สะท้อนเสียงความไม่พอใจ ตั้งคำถาม ตรวจสอบ ท้วงติงรวมไปถึงการต่อสู้ ต่อต้านกับกลุ่มอำนาจเผด็จการราชานิยมในประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นที่คนไทยอัดอั้นพูดไม่ได้ในสังคมไทย เช่นอำนาจที่ล้นฟ้าของสถาบันกษัตริย์ ตุลาการภิวัฒน์ กองทัพ โดยเฉพาะในยุคคสช.ที่ไม่มีนักการเมืองช่วยเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน
เมื่อมีการเลือกตั้งด้วยกติกาโจร ผลที่ออกมาโจรก็ยังคงมีอำนาจเหนือประชาชนอยู่เช่นเดิม แต่อย่างน้อยก็มีนักการเมืองพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่กล้าหาญเสียสละอย่าง “อนาคตใหม่” คอยเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนคอยตอบโต้ ต่อสู้ กับฝ่ายเผด็จการ เรียกร้องประชาธิปไตยแทนประชาชน
แต่ขณะที่ “เพื่อไทย” พรรคการเมืองที่ประชาชนคาดหวัง และให้กำลังใจมากที่สุด กลับไม่มีความชัดเจน ไม่มีความกล้าหาญมากพอในการต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการราชานิยม ทั้ง ๆ ที่ถูกกระทำจากฝ่าย “เผด็จราชานิยม”มาโดยตลอด
ผมผิดหวังกับเพื่อไทย(พลังประชาชน-ไทยรักไทย-ไทยรักษาชาติ)หลายต่อหลายครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา แต่ด้วยเพราะเห็นใจที่ถูกรังแก ถูกกระทำมาโดยตลอดจึงเอาใจช่วยสนับสนุนให้ได้รับความเป็นธรรมและพยายามผลักดัน หนุนเสริมให้เป็นพรรคที่มีหลักการและอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
และแล้วความหวังก็พังพิฆน์ลงอีกครั้งกับการที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยพร้อมใจกันลงมติอนุมัติ พ.ร.ก.โอนกำลังพลและงบประมาณให้ขึ้นตรงกับกษัตริย์ ด้วยเหตุผลเพราะว่า “จะเป็นหลักประกันว่าทหารจะไม่ทำรัฐประหารอีก”….แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่เป็นเหตุผลที่มาจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในสังคมไทย
ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมาประชาชนไทยได้เห็นถึงความอ่อนแอ ตกต่ำของสถาบันกษัตริย์ไทย จนนำมาซึ่งเหตุแห่งการทำรัฐประหาร 22 พ.ค.57 ความอ่อนแอ..และตกต่ำเพราะอุดมการณ์ราชานิยมในสังคมไทย พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่าพาประเทศตกต่ำ ถดถอยแค่ไหน และยังเป็นภัยต่อการเติบโตของวิถีประชาธิปไตยในสังคมไทยอย่างมาก
เฉพาะอย่างยิ่งสนิมในตนของสถาบันกษัตริย์ที่เชื่อมโยงรัดร้อยเข้ากับโครงสร้างอำนาจทั้งกลุ่มทหาร ศาล รัฐบาล และบรรดาเหล่าอำมาตย์ ทุนสามานย์ที่จ้องจะเขมือบประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
“เพื่อไทย-ไทยรักไทย-พลังประชาชน-ไทยรักษาชาติ” ไม่เคยเข็ดหลาบกับการ “สู้ไปกราบไป” แทนที่จะใช้พลังผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้ แต่ไม่เห็นค่า กลับอ้อนวอน ร้องขอความเมตตาจากศัตรูอยู่ร่ำไป
แม้“อนาคตใหม่”จะออกมาเพื่อช่วยล่อเป้า เปนความสนใจของศัตรูที่จ้องจะทำลายเพื่อไทย แต่แทนที่เพื่อไทยจะจับมือเป็นพันธมิตรบอกเจตจำนงในการปกป้องอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่ถึงกับต้องคัดค้าน ไม่อนุมัติ พ.ร.ก.โอนกำลังพลฯ อย่างอนาคตใหม่ แต่อย่างน้อยขั้นต่ำสุดก็ควรจะ“งดออกเสียง” แต่ไม่ทำ กลับอนุมัติกันอย่างหน้าระรื่น ไม่ได้แยแสต่อเจตจำนงของประชาชนที่ร่วมต่อสู้และให้การสนับสนุนเพื่อไทยมาโดยตลอดเลยแม้แต่น้อย
ยืนยัน และขอย้ำอีกครั้งว่า ผมไม่ต้องการ และไม่เห็นด้วยที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเป็นสถาบันที่บอกกล่าว ย้ำเตือน และสืบสานความเป็นชนชาติไทย แต่ต้องไม่ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลและมีอำนาจต่อการเมืองอย่างล้นเกิน หรือกลายเป็นอีกอำนาจหนึ่งที่อยู่เหนืออำนาจทางการเมืองของประชาชน
ต้องไม่ลืมว่า “สถาบันกษัตริย์”คือมรดกทางการเมืองที่ล้าหลังของมนุษย์ หากปล่อยให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจหรืออิทธิพลสูงสุดทางการเมือง มีแต่จะนำประเทศสู่ความล้าหลังถดถอย และเป็นภัยต่อความเป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง
ดังนั้นประชาชน นักการเมือง และพรรคการเมืองที่ต้องการจะสร้างอนาคตที่มั่นคงสำหรับลูกหลานไทยในอนาคต และหากยังต้องการรักษา “สถาบันกษัตริย์” ให้อยู่คู่ชาติไทยตลอดไป ก็ต้องไม่ลืมว่าจะต้องปกป้องและรักษา “สถาบันกษัตริย์” ด้วยหลักการและอุดมการณ์ประชาธิปไตยเท่านั้น
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ ผมประเมินแล้วดูเหมือนว่า ประชาชนไทย นักการเมือง พรรคการเมือง ยังไม่พร้อม และไม่มีศักยภาพมากพอที่จะทัดทาน งัดค้านกับฝ่ายเผด็จการราชานิยมในสังคมไทยได้ในเวลานี้ แม้ฝ่ายประชาชน นักการเมืองบางคน บางกลุ่มกำลังต่อสู้อยู่อย่างเต็มที่แล้วในเวลานี้ แต่ยังคงต้องอาศัยเวลาอีกยาวนาน
ด้วยเวลาที่ยาวนานนี่เอง ที่บั่นทอนความหวังของคนวัยชราเช่นผม แม้เวลา 6 ปีที่ต่อสู้มาอาจไม่นานนัก แต่สำหรับคนวัยใกล้เกษียณที่ต้องต่อสู้อยู่ในต่างประเทศ ไม่เพียงแต่ต่อสู้กับเผด็จการในประเทศไทย แต่ต้องต่อสู้กับการดำรงอยู่ในต่างประเทศให้ได้ด้วย จึงคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องหยุดพักยาวเพื่อให้เวลากับการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ให้ได้ก่อน ส่วนจะนานแค่ไหนก็แล้วชะตาชีวิตที่จำใจต้องผันเปลี่ยนไปจากเดิมว่าจะประสบผลสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
อ้อ..เป็นเพียงการอำลาหน้า“จอ-คอมฯ”เท่านั้นนะครับคือไม่มีการไลฟ์สดสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ เหมือนที่ผ่านมา แต่หากมีอะไรอัดอั้นตันใจเกี่ยวกับความเป็นไปในสังคมไทย ก็อาจจะยังได้ติดตามความคิดเห็นของผม..อยู่บ้าง ( ย้ำว่า อยู่บ้างนะครับ ) ผ่านการโพสต์ในเฟสบุ๊ค แบบนี้แหละครับ
ก็คงมีเท่านี้แหละครับ ..ขอบคุณด้วยหัวใจ และขอกราบดวงใจทุกๆ คนนะครับ ที่ให้กำลังใจ ที่เข้าใจ เห็นใจ และให้การสนับสนุนช่วยเหลือมาโดยตลอด
จอม เพชรประดับ
27 ตุลาคม 2562