จดหมายเปิดผนึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชินวัตร
14 กุมภาพันธ์ 2565
เรียนท่านทักษิณ ชินวัตร
นี่เป็นจดหมายฉบับแรกที่ผมเขียนถึงท่าน มันจำเป็นที่จะต้องเขียนถึงท่าน เพราะความคิดเห็นทางการเมืองของท่านในหลายครั้งนำมาซึ่งความไม่สบายใจอย่างยิ่ง ผมจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความหวังอย่างยิ่งว่าท่านจะหยุดเล่นการเมือง “ลูบคมกัน” และแสดงความจริงจังมากขึ้นไปกับการสนับสนุนขบวนการประชาชนที่ต่อสู้เพื่อวางรากฐานโครงสร้างการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่ที่แท้จริง
ตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการเมืองของประเทศไทยยิ่ง แม้หลังจากที่ถูกทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 ท่านก็ยังคงทรงอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนนโยบายทางการเมือง และความคิดเห็นทางการเมืองของท่านก็ส่งผลต่อขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยเช่นกัน
ในหนังสือ “ราษฎร์ประสงค์ 2553” ซึ่งเป็นการรวบรวมภาพบันทึกเหตุการณ์ต่อสู้และปราบปรามคนเสื้อแดงจนมีการสูญเสียชีวิตเลือดเนื้อจำนวนมาก ท่านในฐานะ “อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร” ได้เขียนคำนำให้กับหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า “ภาพทุกภาพที่ท่านเห็นในหนังสือเล่มนี้ สามารถสื่อความหมายให้ท่านเข้าใจได้มากเกินกว่าคำบรรยายใดๆ ผมรู้สึกเศร้าสลดใจและขอแสดงความเสียใจกับผู้บาดเจ็บ และผู้ที่สูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน รวมทั้งผู้ที่ต้องสูญเสียอิสรภาพไปโดยความอยุติธรรมจากรัฐบาลนี้ … พวกเราผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายจึงอยากขอวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ปกป้องคุ้มครองประเทศไทย จงโปรดดลบันดาลให้ผู้บงการได้มีหูตาสว่าง เลิกคิดเอง เชื่อเอง หันมาเข้าใจความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ…”
ท่านสนับสนุนให้ทนายโรเบิร์ต อัมเตอร์ดัม ทำรายงานการสังหารคนเสื้อแดงในปี 2553 ฟ้องร้องไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ ICC แต่ท่านก็ไม่ยอมให้มีการให้สัตยาบัน ICC ในการให้สัมภาษณ์ 22 ธันวาคม 2555 ท่านให้เหตุผลว่า “เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับประมุขของรัฐ ซึ่งหมายถึงต่างประเทศสามารถฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ ซึ่งผมบอกว่าเรื่องนี้ผมรับไม่ได้ ผมไม่ยอม …”
ตลอดระยะเวลา16 ปีที่ผ่านไป พรรคการเมืองของท่านแม้จะเปลี่ยนชื่อไปหลายครั้ง และแม้จะยังคงได้รับเลือกเข้ามาสู่การเป็นรัฐบาลอีกหลายคณะ ก็ถูกขับไล่ ถูกยุบ และถูกทำรัฐประหารมาตลอด และการทำรัฐประหารท่านเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากอยู่ในสภาวะอาการที่เรียกว่า “ตาสว่าง” อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ แต่อนิจา! มันน่าเศร้ายิ่งว่า ผู้ยึดครองการปกครองและหัวหน้าคณะรัฐประหารก็ยังไม่บังเกิดอาการ “หูตาสว่าง” ไม่ว่าจากค่ายอภิสิทธิชนทหารกษัตริย์นิยม หรือแม้แต่ตัวท่านเองที่มีท่าทีต่อนายพลทหารที่เคลื่อนกองกำลังรักษาพระองค์หลายหมื่นนายมาสังหารชาวเสื้อแดงเมื่อปี 2553 และทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลน้องสาวของท่านในปี 2557
ท่านพูดถึงนายพลที่เคลื่อนกองกำลังทหารรักษาพระองค์ให้มาทำร้ายคนเสื้อแดง ทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลของท่านและของนองสาวท่าน ที่ทำลายกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยมาร่วม 2 ทศวรรษว่า “ผมเป็นคนรับสนองให้ พล.อ. ประยุทธ์เป็นนายพล ไม่มีทางเป็นศัตรู แต่การเมืองมีการลูบคบกัน และผมก็ไม่ใช่ศัตรูของ พล.อ. ประยุทธ์ และ ร.อ. ธรรมนัส เพราะ ร.อ. ธรรมนัส รุ่นน้อง เคยอยู่พรรคเพื่อไทย เป็นคนเหนือด้วยรู้จักกันดี” ที่ท่านพูดในรายการ CARE Talk เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 อันนำมาซึ่งความเศร้าเสียใจของนักสู้เพื่อประชาธิปไตยจำนวนมาก ท่านมองความเลวร้ายทางการเมืองที่นำมาสู่ความสูญเสียชีวิต สูญเสียหลักนิติรัฐนิติธรรม ทำลายเศรษฐกิจทั่วทุกหย่อมหญ้าว่าเป็นเพียงการ “ลูบคมกัน” ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องในแวดวงทหารและตำรวจ ทั้งๆ ที่มันชัดเจนมาตลอดว่า สำหรับค่ายทหารและกษัตริย์ พวกเขาไม่เคยนับความเป็นพี่น้องกับท่าน และใช้ทุกกลยุทธ์ในการบล็อคและปิดกั้นกระบวนการพัฒนาประเทศ และไม่ยอมเปิดทางเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น กับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย และใช้ทุกองคาพยพที่พวกเขาสั่งใด้ไปในการปิดกั้น คุกคาม ทำร้าย จับกุม คุมขัง จนถึงขั้นตามเข่นฆ่าสังหารผู้ประท้วงทั้งในไทยและตามไปอุ้มฆ่าถึงต่างแดนมาโดยตลอด
ไม่ใช่เฉพาะด้านความเสียหายทางเศรษฐกิจที่กระจายตัวทุกหย่อมย่าน แต่ความสูญเสียทางตรงของประชาชนผู้ต่อสู้กับเผด็จการและเรียกร้องประชาธิปไตยสมบูรณ์มันก็มีจำนวนมากมายมหาศาล มันจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทำไมผู้คนจำนวนมากจึงมีปฏิกริยาต่อท่าทีและคำพูดของท่านอย่างรุนแรง เพราะว่าคำพูดของท่านส่งผลสะเทือนสูงยิ่งต่อความรู้สึกของผู้รักประชาธิปไตย ต่อบรรยากาศทางการเมืองไทย ทั้งในด้านที่มันสามารถปลุกพลังผู้คนให้ฮึกเหิมลุกขึ้นสู้ และในด้านที่บันทอนพลังการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
คำพูดของท่านที่มีการนำมากล่าวถึงบ่อยมากที่ว่า “พี่น้องครับ ถ้าเสียงปืนแตกนัดแรกเมื่อไร ผมจะกลับมานำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพเอง’’ ที่ท่านกล่าวอย่างฮึกเหิมในวันที่ 30 มี.ค. 2552 ผ่านระบบวิดีโอลิงค์ ขึ้นจอภาพขบวนกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล อันทรงพลังนี้ได้นำพาผู้สนับสนุนพากันใส่เสื้อแดงนับล้านคนลงถนน และประท้วงต่อเนื่องกว่า 1 ปี เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ อาชีวะ ยุบรัฐสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
แต่เมื่อท่านร้องเพลง let it be – ช่างมันเถอะ ในช่วงฉลองสงกรานต์ไทยที่ประเทศกัมพูชา ในค่ำวันที่ 14 เมษายน 2555 หลังจากอภิสิทธิ์ประกาศในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 ว่าจะให้มีการเลือกตั้งใหม่ อันเป็นการส่งสัญญาณแห่งการให้ผู้คนปล่อยผ่านความเจ็บปวดแห่งปี 2553 แล้วเตรียมตัวดันพรรคการเมืองของท่านเข้ารัฐสภาอีกครั้ง ก็ทำให้ผู้คนสับสนว่าควรปล่อยผ่านความตายและการสูญเสียของคนเสือแดงไปเพื่อการปรองดองแห่งชาติได้จริงหรือ
19 พฤษภาคม 2555 ท่านกล่าวว่า “พี่น้องแจวเรือพาผมข้ามถึงฝั่งแล้ว ผมต้องเดินทางต่อขึ้นภูเขา พี่น้องจะแบกเรือมาพาผมขึ้นภูเขาทำไม ถึงเวลาที่ผมจะขอนั่งรถขึ้นเขา…” พร้อมดันแนวนโยบาย “แก้ไขไม่แก้แค้น” เพื่อนำการเมืองของรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของท่านและพรบ. เหมาเข่ง สุดซอย “ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน” ที่รวมนิรโทษกรรมให้กับท่านและรัฐบาลอภิสิทธิ์ และผู้เกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหารและปราบปรามประชาชนนับตั้งแต่ปี 2549 แต่ข้อเสนอนี้ ไม่อาจทำให้ค่ายทหาร พรรคฝ่ายขวา และราชสำนัก และขบวนการ กปปส. ยินยอมปรองดองกับท่าน และพวกเขายิ่งมีข้ออ้างในการปลุกระดมมวลชนคนรักในหลวง มาขับไล่รัฐบาลและสร้างความวุ่นวายทางการเมือง จนเปิดทางให้คณะรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ของพลเอกประยุทธ์ คนที่ท่านพูดถึงว่า “เป็นผู้รับสนองแต่งตั้งเขาเป็นนายพล” นั่นเอง
ตั้งแต่ต้นปี 2564 เป็นต้นมา ท่านปรากฎตัวในนาม Tony Woodsome เพื่อนำเสนอช่องทางเศรษฐกิจและบทวิเคราะห์ทางการเมือง ท่านย้ำหลายครั้งว่า #กลับบ้านแน่ และเมื่อ 28 ตุลาคม 2564 ท่านได้ส่งลูกสาวคนเล็กขึ้นตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เตรียมตัวเพื่อไทยเข้าสู่การเลือกตั้งพร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนแลนสไลด์เลือกพรรคเพือ่ไทยเเพื่อจะทำให้สามารถแก้ไขกฎหมายต่างๆ ได้เต็มที่ ท่านประกาศอย่างมั่นใจว่าประยุทธ์จะยุบสภาและจะมีการเลือกตั้งกลางปี 2565 กระแสเลือกตั้งโหมกระพือขึ้น สอดรับกับพรรคเพื่อไทยนำทีมใช้ยุทธการไม่แสดงตนในสมัยการประชุมสภา 5 – 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อส่งเสียงถึงประยุทธ์และพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลว่า พวกเขาคุมรัฐสภาไม่ได้และควรจะยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ได้แล้ว แต่ยุทธวิธีนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และประยุทธ์ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุบสภาง่ายๆ เช่นที่ท่านคาดการณ์
90 ปีของประชาธิปไตยไทย เวลาที่ร่วมศตววรษนี้ มันไม่น้อยเลย ที่ประเทศไทยอยู่ในวังวนของ “รัฐประหาร – ประท้วง – จัดทำรัฐธรรมนูญ – เลือกตั้ง” มาถึง 13 ครั้ง หรือทุก 6 ปี มันควรหยุดได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลอด 16 ปที่ผ่านมา ประเทศไทยต้องอยู่กับวิกฤติการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม อันเนื่องจากรัฐประหารและผลพวงของรัฐประหารถึง 2 ครั้ง
ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาชนคนรุ่นใหม่ ต่างก็ตาสว่าง และพากันตระหนักว่าต้นตอปัญหาที่ทำให้ไทยไม่อาจพัฒนาเกิดจากมาจากการใช้กฎหมายปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรงด้วยกองกำลัง อาวุธ และกฎหมายในมือโจร ในนามอันล่วงละเมิดและฟ้องร้องในทางใดๆ มิได้ และจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กระแสการเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ได้ถูกนำเสนอถึงรัฐบาลหลายคณะนับตั้งแต่ปี 2552 และเสียงเรียกร้องยกเลิกกฎหมายมาตรานี้ดังมากขึ้น และเรียกร้องให้พรรคการเมืองผลักดันการแก้กฎหมายตัวนี้ในรัฐสภาอย่างจริงจังในปัจจุบัน ซึ่งผู้คนคาดหวังว่าพรรคเพื่อไทยของท่านจะร่วมออกหน้าดันแก้กฎหมายนี้
แต่ข้อเขียนที่สวนกระแสตาสว่างอย่างไม่น่าเชื่อ คือข้อเขียนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 ที่กล่าวถึงมาตรา 112 ท่านเขียนว่า “ตัวกฎหมายเองไม่เคยเป็นปัญหา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ มันเกิดจากการปฎิบัติที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่าบุคคลในกระบวนการยุติธรรมอาจจะเกิดจากความกลัวหรืออาจจะเกิดจากความอยากแสดงความจงรักภักดีโดยไม่ยึดหลักนิติธรรม…” ประโยคเหล่านี้ช็อคทั้งสังคม คำพูดของท่านทำให้ท่าทีในเรื่องนี้ของพรรคเพื่อไทยของท่านที่มี สส. มากที่สุดเปลี่ยนไปด้วย
ยิ่งกว่านั้น ท่านยังตัดเหยื่อใยปฏิเสธความสัมพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้นกับกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ “ส่วนเรื่องที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการล้มเจ้านั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่ตลก และไม่มีมูลแม้แต่นิดเดียว เพราะเป็นคนที่จบโรงเรียนเตรียมทหาร จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และได้ทุนเล่าเรียนจาก ก.พ. ตามความต้องการของกรมตำรวจไปศึกษาต่อทั้ง”ปริญญาโท และปริญญาเอก ที่อเมริกา เพราะฉะนั้นโดยธรรมชาติของตน นอกเหนือจากระบบสถาบันที่ต้องดำรงอยู่ด้วยความจงรักภักดีแล้ว ยังเป็นเรื่องความกตัญญูรู้คุณที่เป็นจุดแข็งในชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสำเร็จมาทุกวันนี้ เพราะมีความกตัญญูรู้คุณ ดังนั้น เรื่องที่กล่าวหาทั้งหมด ขอยืนยันว่าไม่มีมูล และอย่าหวังว่า จะมีคนหลงเชื่อตามคนที่ปล่อย ขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง”
4 ธันวาคม 2564 ท่านโพสต์ย้ำอีกครั้ง “หากใครมีหลักฐานว่ามีโอนเงินมาจากผม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอนเงินเข้าสู่ขบวนการล้มเจ้า ผมจะให้รางวัลอย่างงาม เพราะไม่มีทางมี และผมไม่เคยโอนเงินมา ไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น”
ไม่แปลกเลยที่มีการกล่าวขานถึงท่านว่า “จังหวะนรก” เพราะความคิดเห็นทางการเมืองของท่านมักจะมาผิดที่ผิดเวลา และจนบัดนี้ท่านยังไม่กล้าแม้แต่น้อยที่จะร่วมผลักดันการแก้ปัญหาที่ฐานราก และยังคงชูนโยบายทางเศรษฐกิจต่อไปโดยไม่แม้แต่ครั้งเดียวที่จะหนุนข้อเรียกร้องของเยาวชนไทยที่เรียกร้อง #ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เกมส์การเมืองลูบคมกัน ได้นำพาประเทศชาติดิ่งลงเหวลึกแห่งระบอบเผด็จการอันมีกษัตริย์เป็นประมุขมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าค่ายทหารและขั้วอำนาจอนุรักษ์นิยม ก็ตระหนักดีถึงเกมส์การเมืองแย่งชิงการสนับสนุนจากสถาบันกษัตริย์ เกมส์แยกสถาบันกษัตริย์ออกจากกองทัพ แต่การเมืองแยกกษัตริย์ออกจากทหารของท่านล้มเหลวมาตลอด และทั้งสองสถาบันยิ่งคงความแน่นแฟ้นกันอย่างไม่อาจจะแยกออกจากกันได้เช่นในรัชสมัยปัจจุบัน ที่ตัวกษัตริย์เองก็ดำรงวิถีทหารและจัดตั้งกองทัพของตัวเองด้วยเช่นกัน
ความรัก ความศรัทธา และความเชื่อมั่นที่ผู้คนเสื้อแดงจำนวนมากมีให้กับท่าน เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มาก และหลายคนที่ไม่แม้เห็นด้วยกับท่าน ก็ยังต้องเคารพที่ท่านได้ความรักและความเชื่อมั่นจากคนเสื้อแดง
ผมเขียนจดหมายนี้ถึงท่าน เพื่อเรียกร้องให้ท่านใช้พลังอำนาจและบารมีที่ท่านมี ไปกับการผลักดันให้มีการแก้ปัญหาการเมืองไทยที่โครงสร้าง ผมขอเรียกร้องให้ท่านเชิญชวนและผลักดันให้พรรคการเมืองเพื่อไทย พรรคร่วมฝ่ายค้าน ทุกพรรคการเมืองที่ทำได้ และผู้สนับสนุนท่าน ให้นำข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ทั้ง 10 ข้อ ที่นำเสนอโดยเยาวชนไทยมาเป็นนโยบายในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ ปักหมุดหมายการเมืองที่เคารพสิทธิมนุษยชน เปิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จัดระบบสวัสดิการพื้นฐาน และสร้างบรรทัดฐานกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติกับทุกคนอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และไม่เลือกปฏิบัติ
ประเทศไทยเสียเวลามาหลายครั้งแล้ว การแก้ปัญหาปากท้องไม่อาจยั่งยืนได้ ถ้าไม่อาจแก้ปัญหาที่โครงสร้างการเมือง โปรดใช้บารมีของท่านมุ่งไปสู่การปักหมุดหมายประชาธิปไตยสมบูรณ์ให้กับประเทศไทยและประชาคมอาเซียนเถิด
ด้วยความเคารพ
จรรยา ยิ้มประเสริฐ
ACT4DEM – แอคชั่นเพื่อประชาธิปไตย