ACT4DEM เปิดงบสถาบันกษัตริย์ – ตอนที่ 2: ครอบครัวปรสิต

ศึกษาและรวบรวมโดย จรรยา ยิ้มประเสริฐ

ACT4DEM – แอคชั่นเพื่อประชาธิปไตย

ในตอนที่แล้วเราได้นำเสนอถึงงบประมาณส่วนสถาบันกษัตริย์ที่ถูกใช้ไปกับการปรับปรุงเขตพระราชฐาน ในวันนี้เราจะมาชำแหละงบประมาณแผ่นดินปี 2563-2564 กันว่า ถูกใช้ไปกับสถาบันเท่าไหร่กันแน่

หากเราจะนับเพียงแค่งบประมาณที่ระบุโดยตรงว่าให้สถาบันกษัตริย์ใช้ตามพระราชอัธยาศัย ก็นับว่ามากแล้ว แต่ความลึกล้ำซับซ้อนในการโกงกินงบประมาณแผ่นดินของเหล่าชนชั้นสูง ขุนนาง และข้าราชการนั้น กลับเน่าเฟะอย่างเป็นบูรณาการ และโกงกินกันอย่างยั่งยืน…

ชาวไทยในวันนี้ก็ไม่ต่างกับกบในหม้อต้มน้ำร้อน ตั้งแต่ลืมตาตื่นมา ออกไปทำงานหลังขดหลังแข็ง จนกลับบ้านมากินอาหารสำเร็จรูปในห้องเช่าราคาถูก และหลับตาลงอย่างอ่อนล้า เราโดนโกงกิน เอาเปรียบอยู่แทบทุกลมหายใจ ในทุกวินาทีที่ผ่านไป เราไม่รู้ตัวว่ากำลังจ่ายเงินเลี้ยงชนชั้นสูงเพียงไม่กี่ชีวิตให้มีชีวิตสุขสบายต่างกับเราลิบลับ

เราถูกหลอกลวงด้วยคำว่าพอเพียง ยั่งยืน ศาสตร์พระราชา ตามรอยพ่อ ปิดทองหลังพระ ฯลฯ ที่กดหัวให้เรายอมรับโชคชะตา ไม่คิดที่จะดิ้นรนต่อสู้เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น โดยเชื่อว่ามันเป็นเวรกรรม

กระบวนการทุจริตเชิงนโยบาย

นับตั้งแต่สมัยสงครามเย็น นโยบายการพัฒนาของประเทศไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย วิธีคิดแก้ปัญหาตั้งแต่ยุคนั้นได้แทรกซึมอยู่ตามกระทรวง กรมต่างๆ ที่เน้นการพัฒนาไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงให้กษัตริย์และทหาร

ถ้อยคำสวยหรูที่เป็นน้ำตาเคลือบยาพิษ หลอกให้เราหมอบกราบการทุจริตเชิงนโยบาย

เป็นที่รู้กันมานานหลายสิบปีแล้ว ว่าหากข้าราชการต้องการงบประมาณ วิธีที่จะเสนอโครงการให้ผ่านได้ง่ายที่สุดก็คือการแปะท้ายชื่อโครงการ ด้วยคำว่า “เฉลิมพระเกียรติ” “ตามแนวทางพระราชดำริ” “ตามศาสตร์พระราชา” เป็นต้น นอกจากคำเหล่านี้จะเป็นเหมือนมนต์คาถาที่เสกงบประมาณให้ได้ทันใจแล้ว มันยังเป็นยันต์กันภัย ไม่ให้ใครตั้งคำถาม หรือกล้าตรวจสอบการใช้งบประมาณได้อีกด้วย และนี่เองคือที่มาของการ “ทุจริตเชิงนโยบาย”

วิธีการใช้งบประมาณนั้น ก็เต็มไปด้วยความมักง่าย ผักชีโรยหน้า เช่น เมื่อมีภัยพิบัติ ก็ใช้งบประมาณไปกับการจัดซื้อถุงยังชีพ แต่ไม่เคยใช้งบในการแก้ปัญหาป้องกันน้ำท่วมที่ต้นเหตุ การพัฒนาชนบทที่จัดการโดยหน่วยงานบริหารท้องถิ่นและใช้งบประมาณแผ่นดินจากภาษีประชาชน กลับถูกนำไปอ้างเป็นผลงาน เป็นบุญคุณของทหาร และสถาบันกษัตริย์

จากงบประมาณที่ถูกแจกจ่ายไปตามกระทรวงต่างๆ ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ลักษณะการกระจายงบก็ยังคงเป็นแบบเดิม งบยังกระจุกตัวอยู่ที่กระทรวงเดิมๆ โดยเน้นไปที่การสร้างความมั่นคงของชาติมากกว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตคน และเมื่อลงรายละเอียดไปในรายจ่ายแยกแต่ละกระทรวง เราก็พบว่ามีงบประมาณที่ใช้เทิดทูน หรือสร้างบุญคุณในนามของสมาชิกราชวงศ์อยู่จำนวนมหาศาล

แล้วทำไมคนไทยจึงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับการถูกเอาภาษีไปใช้สร้างเทพเจ้าจอมปลอมที่บังคับให้พวกเขากราบไหว้อยู่อีกล่ะ?

เราทุกคนคือเจ้าของงบประมาณแผ่นดิน

คนไทยกว่า 70 ล้านคน  ถูกกล่อมแกมขู่มาตลอดชีวิตว่าผู้ที่จ่ายภาษีที่แท้จริงคือผู้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา คือพวกชนชั้นกลาง พวกคนมีการศึกษาในเมืองหลวงซึ่งมีจำนวนเพียง 4 ล้านคนเท่านั้น (จากข้อมูลในปี 2557) คนกลุ่มนี้จึงมักเหยียดคนกลุ่มอื่น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยว่า พวกตนเท่านั้นที่ควรมีสิทธิกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ เพราะเป็นเจ้าของเงินภาษีที่แท้จริง ในขณะที่คนจน คนใช้แรงงานไม่มีสิทธิ์ที่จะทักท้วงหรือทวงถามว่าภาษีของคนไทยถูกเอาไปทำอะไรบ้าง

แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?

แท้จริงแล้วภาษีที่รัฐบาลเก็บได้มากที่สุด มาจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ทุกคนต้องจ่ายเมื่อซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ในเมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ คือคนจน (หากจะนับจากคนที่ไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คนกลุ่มนี้คิดเป็นกว่า 90% ของประเทศ ดังนั้นเราอาจจะอนุมานได้ว่าภาษีมูลค่าเพิ่มกว่า 90%  ก็มาจากคนยากจนด้วยเช่นกัน (แน่นอนว่าคนรวยจับจ่ายใช้สอยมากกว่าคนจน แต่คนรวยมักใช้เงินส่วนมากไปกับสินค้าฟุ่มเฟือยในร้านค้าปลอดภาษี หรือในต่างประเทศ และมักมีสารพัดวิธีการลดหย่อนภาษีอยู่ตลอด)

พวกเราถูกหลอกว่าเราไม่ได้จ่ายภาษี เราจึงไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น เราจึงไม่มีสิทธิ์สงสัย กลายเป็นกบในหม้อน้ำ ที่กำลังถูกต้มให้สุกไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่พวกสมาชิกราชวงศ์ ใช้ภาษีเราราวกับน้ำ และไม่เคยเหลียวแลความทุกข์ยากของคนกลุ่มใหญ่ในประเทศเลย

ภาษีก็ยังไม่อิ่ม

ถึงแม้ว่าจะมีงบประมาณส่วนพระมหากษัตริย์จำนวนมหาศาล ถูกระบุไว้ในงบประมาณแผ่นดิน รวมไปถึงงบซ้อนซ่อนลึกที่แอบอยู่ตามโครงการ มูลนิธิต่างๆ ตามงบประมาณกระทรวง แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของสำนักพระราชวังที่ถีบตัวสูงขึ้นแข่งกับราคาทองคำในตลาดโลก

ถ้าคุณได้ดูข่าวในพระราชสำนักตอนสองทุ่ม – ไม่สิ คนไทยคนไหนบ้างล่ะที่ไม่เคยดู เพราะมันไม่มีทางเลือกอื่นให้ดู – คุณก็จะเห็นว่าเหล่าสมาชิกทั้ง 13 คนของราชวงศ์ไทย มีงานหลักคือการรับซองที่ถวายให้”โดยเสด็จพระราชกุศล” เงินเหล่านี้ไม่มีการแจกแจงว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ และจะเอาไปใช้จ่ายอะไร ใช่แล้ว หากคุณเอ่ยปากถาม คุณจะถูกจับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในทันที

น้ำกำลังเดือด-หนี้ท่วมประเทศ

ถ้าหากว่าน้ำในหม้อที่พวกเราชาวกบกำลังว่ายน้ำเล่นอยู่เย็นสบายแล้วล่ะก็ การใช้จ่ายเงินของเหล่าราชวงศ์ก็คงจะไม่เป็นปัญหานัก เราอาจจะพอทำใจได้ถ้าพวกเขาสุขสบายและเราก็อยู่เย็นเป็นสุขไปด้วย แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น

เพราะพญาคางคกที่ถูกมอบหมายจากกษัตริย์ให้มาทำการรัฐประหารยึดอำนาจพวกเราไปนั้น สุดแสนจะโง่ และบริหารประเทศไม่เป็น เมื่อเงินไม่มีให้ใช้ พญาคางคกด้อยปัญญาตัวนั้นจึงทำได้แค่กู้เงินมาโปะหนี้ หนี้ที่สูงกว่างบประมาณแผ่นดินถึงสามเท่าตัว

และนับตั้งแต่ที่พญาคางคกตัวนี้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศ แม้คนกลุ่มหนึ่งจะอ้างว่าประชาชนในประเทศอยู่อย่างสงบสุข สภาพเศรษฐกิจกำลังไปได้ด้วยดี แต่ความจริงคือ นอกจากประเทศจะไม่เคยพ้นสภาพขาดดุลแล้ว เจ้าพญาคางคกยังไปกู้เงินมาเพิ่มเติมอยู่ตลอด ทั้งที่ไม่มีปัญญาจะใช้หนี้เก่าด้วยซ้ำ

การบริหารงบประมาณแผ่นดินอย่างขาดสติเช่นนี้ ก็เป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายเชิงมักง่าย แก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก คำว่ายั่งยืน แปลว่าจนอย่างยั่งยืน คำว่าพอเพียง คือจงเจียมกะลาหัว และคำว่าบูรณาการ ก็เป็นแค่คำโกหกที่ฟังดูสวยหรู

หนี้สินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ อย่าว่าแต่สติปัญญาของพญาคางคกประยุทธ์เลย เอาคนสติดีมาแก้ปัญหา ใช้เวลาสิบปีก็ไม่รู้ว่าจะปลดหนี้ได้หรือไม่ แถมกษัตริย์ไทยก็ยังเลี้ยงดูพญาคางคกเอาไว้อีกหลายตัว เมื่อประยุทธ์หมดประโยชน์ เขาก็คงส่งคางคกตัวใหม่ที่สติปัญญาพอๆ กัน มาปกครองเราอยู่ดี ขอให้ท่านผู้อ่านคิดต่อเองก็แล้วกันว่า ปัญหามันอยู่ที่ไหนกันแน่

อย่าลืมว่า ประชาชนทุกคนล้วนเสียภาษี เราทุกคนล้วนเป็นเจ้าของงบประมาณแผ่นดิน ไม่ว่าคุณจะมีรายได้หรือไม่

ทักษิณ-ฝันร้ายของราชวงศ์-ฮีโร่คนรากหญ้า

ทำไมคนเสื้อแดงถึงรักทักษิณ? และทำไมฝ่ายคลั่งเจ้าถึงเกลียดทักษิณ?

คนเสื้อแดงนั้นส่วนมากกำเนิดจากกลุ่มคนชายขอบ ชาวบ้านในชนบท คนที่มีการศึกษาน้อย คนที่ถูกเอาเปรียบจากชนชั้นปกครอง พวกเขาได้ลืมตาอ้าปาก และสัมผัสกับชีวิตที่สุขสบายนอกหม้อต้มกบในยุคสมัยที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี เรื่องราวเหล่านี้อาจฟังดูเป็นเทพนิยาย แต่มันคือเรื่องจริง และการบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดิน ก็เป็นหลักฐานยืนยันถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของประชาธิปไตยที่ให้โอกาสทุกคนเท่าเทียมกัน

เมื่อเราดูการใช้งบประมาณในปี 2549 ซึ่งเป็นสมัยของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร งบประมาณส่วนมากจะทุ่มไปกับยุทธศาสตร์ที่ลดช่องว่างระหว่างชนชั้น สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสามารถของประชาการ อันเป็นรากฐานที่แท้จริงของประเทศ ในขณะที่การจัดการงบประมาณในปี 2564 ซึ่งเน้นยุทธศาสตร์ความมั่นคง และดูจะพยายามคละงบประมาณให้ไปเท่าๆ กัน ราวกับการแบ่งเค้กให้ผลประโยชน์กับคนในรัฐบาลมากกว่าการบริหารตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมโลก

นโยบายสร้างความเสมอภาคทางสังคม อย่างการแจกเงินให้คนที่ลงทะเบียนผ่านทางอินเตอร์เนทอย่างนั้นน่ะหรือ? เสมอภาค?
(และการแจกเงิน แจกของนี่ก็เป็นตัวอย่างของนโยบายผักชีมักง่าย ซึ่งเป็นวิธีที่ขั้วอำนาจเก่าถนัดที่สุด)

เพราะนโยบายการพัฒนาประเทศแบบใหม่ จะทำให้วิธีการทำงานแบบผักชีโรยหน้าหมดไป ข้าราชการไม่อาจทำงานเช้าชามเย็นชามได้ พวกเขาส่วนหนึ่งจึงไม่พอใจ เมื่อรวมกับความไม่พอใจของชนชั้นกลางที่เกลียดกลัวการเลื่อนฐานะของคนรากหญ้าเข้ามาใกล้ตัวเอง และชนชั้นสูงที่กลัวจะเสียคะแนนนิยมของคนรากหญ้าให้กับนักการเมืองหัวสมัยใหม่ พวกเขาจึงร่วมมือกันกำจัดปีศาจที่ชื่อทักษิณให้พ้นทาง

แต่ไม่ทันที่เงาของทักษิณจะจางหายไป ปีศาจตัวใหม่ที่ชื่อธนาธร ก็ปรากฎตัวมาเขย่าบัลลังค์งาช้างให้สั่นคลอนอีกครั้ง นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เสียงต่อต้านธนาธรจากขั้วอำนาจเก่าจึงรุนแรงและเต็มไปด้วยความชิงชัง ทั้งที่ธนาธรยังแทบจะไม่ได้ทำอะไรในสภาเลย

พวกเขาเห็นเงาของทักษิณในธนาธร เงาของยุคสมัยใหม่ เงาของความเปลี่ยนแปลง

ชีวิตที่ดีขึ้น

เราลองมา”ฝัน” กันเล่นๆ ว่าชีวิตของคนไทย จะเปลี่ยนไปอย่างไร หากงบประมาณแผ่นดิน จะไม่ถูกใช้ไปกับสถาบันพระมหากษัตริย์

จากงบประมาณแผ่นดิน 3.3 ล้านล้านบาท เมื่อหารจำนวนประชากรแล้ว จะได้ราว 4.7 หมื่นบาทต่อคน คิดเป็นค่าแรงขั้นต่ำเกือบครึ่งปี แต่ในความเป็นจริงแล้ว งบประมาณ 3.3 ล้านล้านบาท ต้องเอาไปจ่ายค่าจ้างเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น ค่าดำเนินงาน ปฎิบัติการต่างๆ ค่าการศึกษา ค่าคุ้มครองให้กับตำรวจและทหาร และ “ค่าเกียรติยศ” เพื่อเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่แทบไม่เคยอยู่ในประเทศของตน

“ขอฝันใฝ่ ในฝัน อันเหลือเชื่อ”

หากเงิน 8 หมื่นล้านนั้นจะกลับคืนมาสู่ประชาชน เราคงเอาเงินส่วนนี้มาอุดหนุนส่วนของสวัสดิการ ปรับปรุงคุณภาพชีวิต ทั้งของเด็ก นักเรียน คนพิการ คนชรา คนตกงาน

เงิน 8 หมื่นล้านบาทสำหรับคน 13 คนต่อปี คิดได้เป็น 6 พันล้านบาทต่อคนต่อปี อาจจะหมดไปกับแฟชั่นโชว์ การ”ดูงาน”ต่างประเทศ งานเลี้ยงฉลอง ค่าน้ำมันเครื่องบินในไม่กี่ชั่วโมง

แต่เงิน 8 หมื่นล้านบาทสำหรับคนทั้งประเทศ อาจจะช่วยต่อเวลาให้คนตกงานหลายหมื่นชีวิตใช้พัฒนาทักษะเพื่อหางานใหม่ อาจจะทำให้เด็กหลายแสนคนมีโอกาสได้เรียนต่อและพัฒนาประเทศต่อไป อาจจะทำให้คนชราทั้งประเทศได้ใช้เวลาบั้นปลายชีวิตอย่างสงบสุขไม่ต้องเป็นภาระกับลูกหลาน

ปรสิตนอนกิน

เมื่อคิดถึงครอบครัวปรสิตที่มีสมาชิกหลัก 13 คน เรามักจะคิดว่าผู้หญิงที่ดูขี้โรค หรือบ้าๆ บอๆ ทำตัวไม่สมกับอายุนั้น ไม่น่าจะใช้เงินสิ้นเปลืองอะไร แต่แท้ที่จริงแล้วคนเหล่านี้แหละที่ใช้งบประมาณมหาศาล

พระพันปีสิริกิติ์

ถึงแม้ว่าจะมีสภาพที่เหมือนไม่สามารถทำงานได้แล้ว แต่ชื่อของพระพันปียังคนจารึกอย่างเหนียวแน่นบนแผ่นป้ายสถานที่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ศูนย์พฤกษศาสตร์ ศูนย์การประชุม ศาสนสถาน โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา

แม้ในปัจจุบัน หน่วยงานทั้งหมดที่เคยอยู่ใต้สังกัดพระพันปี จะถูกโอนมาให้อยู่ภายใต้ความดูแลของพระราชินีสุทิดา แต่พระราชินีเองก็ประทับอยู่สวิสเซอร์แลนด์แทบจะตลอดเวลา แล้วใครล่ะที่ดูแลผลประโยชน์มหาศาลส่วนนี้ ?

เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์

ถึงแม้ว่าจุฬาภรณ์จะออกสื่อด้วยภาพลักษณ์ที่ป่วยอยู่ตลอดเวลา แต่หลายคนก็สังเกตว่าเวลาที่จุฬาภรณ์ไปเที่ยวเมืองนอก มักจะลงรูปที่ตัวเองอยู่ในสภาพสดชื่นร่าเริง ไร้อาการเจ็บป่วยใดๆ ช่างแตกต่างกับภาพที่เห็นเสมอ เมื่อเธอออกงานพิธีต่างๆ

แต่ถึงแม้เจ้าฟ้า “นักวิทยาศาสตร์” จะออกงานในสภาพที่ป่วยกระเสาะกระแสะ แต่หน่วยงาน มูลนิธิต่างๆ ในความดูแลของจุฬาภรณ์นั้น รวมแล้วกลับใช้งบประมาณสูงที่สุดในปี 2564 โดยหน่วยงานส่วนมากที่ขึ้นตรงต่อจุฬาภรณ์จะเกี่ยวข้องกับการแพทย์/การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ งบประมาณก้อนใหญ่ในปี 2564 ก็จะถูกใช้ไปกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และโรงเรียนต่างๆ ในเครือ

เป็นที่น่าสังเกตว่าครอบครัวนี้จะคลั่งไคล้การสร้างโรงเรียนเป็นพิเศษ เจ้าทุกคนต้องมีโรงเรียนที่ตั้งชื่อตามตัวเอง นี่เป็นวิธีการสร้างทาสจากระดับจิตใต้สำนึก เพราะตามประวัติศาสตร์ทั่วโลกแล้ว การลุกขึ้นมาของประชาชนเพื่อโค่นล้มราชวงศ์มักเริ่มต้นจากคนที่มีการศึกษา ดังนั้น หากจะดับไฟที่ต้นลม ก็ต้องสร้างบุญคุณครอบงำคนตั้งแต่การศึกษาขั้นพื้นฐาน ยิ่งไปกว่านั้น การแบ่งชนชั้นของโรงเรียนวัด โรงเรียนราษฎร์ โรงเรียนเจ้า ยิ่งทำให้คนที่เรียนอยู่ในโรงเรียนเจ้าได้สัมผัสถึงชีวิตของอภิสิทธิ์ชน ทำให้พวกเขาหวงแหนระบบศักดินา และสนับสนุนการมีอยู่ของเจ้ายิ่งชีวิต

ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์

ทางวังนั้นรู้จักกลยุทธวางไข่ในตระกร้าหลายใบและใช้มันมาเป็นเวลานาน ถ้าจะพูดถึงเจ้าที่มีภาพลักษณ์ที่ดีที่สุดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ชื่อของอุบลรัตน์จะขึ้นมาก่อนเสมอ เธอถูกวางตัวไว้ในฐานะเจ้าหัวทันสมัย จบนอก เรียนเก่ง หน้าตาดี และทำตัวเป็นวัยรุ่นอยู่เสมอ ชาวไทยหลายๆ คนเชื่อว่าอุบลรัตน์เป็นเจ้าองค์เดียวที่อยู่เคียงข้างประชาชน และอยู่ฝ่ายตรงข้ามเผด็จการ ท้าทายอำนาจของน้องชายเธอ

แต่นั่นก็เป็นแค่การแสดงละคร ถึงแม้อุบลรัตน์จะเคยลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอตั้งใจที่จะต่อต้านอำนาจของฝ่ายวัง เพราะท้ายที่สุดแล้วเธอก็ใช้ความเป็นราชนิกูลของตนมาหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อันที่จริง อุบลรัตน์ได้ลาออกจากฐานันดรไปนานแล้ว และพ่อของเธอก็ไม่เคยคืนยศเจ้าฟ้าให้เธอเลย แต่มอบยศทูลกระหม่อม ที่ไม่ได้มีความหมายอะไรในฐานะเชื้อพระวงศ์เลยให้กับเธอ แต่สำนักราชวังก็ยังประโคมข่าวใส่ชื่อของเจ้าไร้ศาลผู้นี้ไว้ตามงานการกุศลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อโรงเรียน ชื่อเขื่อน ชื่อวัด แม้แต่ชื่อพระพุทธรูป!

แน่นอนว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ เหล่านี้ ต่างก็ได้ผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดิน และเงินบริจาคจากประชาชนที่เชื่อว่าตนเองกำลังทำบุญกับเจ้า กับคนมีบุญ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมข้าราชการ และคนจากหน่วยงานพวกนี้ถึงประกาศตัวเป็นคนรักเจ้า เพราะแท้ที่จริงแล้ว พวกเขารักเงินที่ได้จากการโหนเจ้าโดยไม่ต้องทำงานต่างหาก

โสมสวลี

เรื่องราวดราม่าในชีวิตของโสมสวลีนั้น คงไม่ต้องเล่าซ้ำอีก สภาพของเธอในปัจจุบัน อย่าว่าแต่ทำงานเลย แค่คิดว่าจะให้เธอปรากฎตัวในที่สาธารณะมันก็ดูใจร้ายแล้ว แต่สำหรับครอบครัวปรสิตแล้ว ชื่อของเธอยังทำเงินได้ มูลนิธิ และกองทุนต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ความดูแลของโสมสวลีนั้น ก็ยังคงได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดิน และเงินบริจาคจากคุณหญิงคุณนาย และนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมทางวังจึงยังเข็นเธอออกมารับงานอยู่เสมอ และเราก็เห็นเธอในข่าวบ่อยกว่ากษัตริย์และราชินีตัวจริงด้วยซ้ำไป

แบ่งแยกและปกครอง ครอบงำและกดขี่

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เรานำมายกตัวอย่าง และอันที่จริงแล้ว แม้แต่สมาชิกราชวงศ์ที่ตายไปแล้ว ก็ยังถูกใช้ชื่อมาทำมาหากินแทบทุกคน สมาชิกหลักของราชวงศ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ล้วนถูกวางตัวเอาไว้เป็นตัวแทนในการควบคุมงบประมาณหลักของประเทศ การครอบงำทั้งหมดนี้ค่อยๆ เกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยโดยที่เราแทบจะไม่รู้ตัว สำหรับข้อมูลการใช้งบประมาณของสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ที่เหลือ เราจะทยอยนำมาเล่าในตอนต่อไป

ดูตอนที่ 1 https://act4dem.net/?p=1764