ประเทศไทยวันนี้ ไม่ได้มีแค่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เศรษฐกิจ การเมือง ปัญหาต่างๆ ทางสังคม ก็อยู่ในสถานการณ์ปริ่มลงๆ
เรื่องตลกคือรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำต่างหาก ที่มั่นคง ขณะที่ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจปากท้องตัวเอง ก็ยังเชื่อว่ารัฐบาลนี้ จะอยู่ยั้งยืนยง
รัฐบาลจะถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญ กรณีถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบ ซึ่งประชาชนเห็นกันทั้งประเทศว่าไม่ครบ แต่ไม่รู้เป็นไง ประชาชนกลับรู้สึกว่ารัฐบาล 3 ป.จะอยู่ได้ 8 ปี สมกับที่ตั้งซินแสมากินเงินภาษี ฝ่ายค้านต่างหาก จะมีอันเป็นไป โดยเฉพาะพรรคที่กล้าท้าทายดีนัก
ภาคเหนือภาคอีสานวันนี้ไม่แค่ปริ่มน้ำ จมน้ำไปแล้วด้วยซ้ำ แต่กลายเป็นโอกาสให้รัฐบาลอ้าง ช่วยน้ำท่วมก่อน ฝ่ายค้านเอาแต่เล่นการเมือง จะอภิปรายอะไรกัน
น้ำท่วมยังเป็นโอกาสโชว์ข้าวกล่อง แต่ผิดคิวไปหน่อย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ โพสต์แล้วเปลี่ยนเป็นข้าวเหนียวหมู ห่อใบตองในภายหลัง
ไม่ว่าประเทศเป็นอย่างไร “ระบอบการปกครองแบบมั่วๆ” ตามคำ ดร.โกร่ง วีรพงษ์ รามางกูร ก็จะอยู่ยงคงกระพัน อย่างเก่ง สังคมไทยก็ได้แต่ดราม่าออนไลน์ เดี๋ยวเรื่องนั้น เดี๋ยวเรื่องนี้ ฝ่ายค้านก็มีบทบาทได้แค่ในรัฐสภา ซึ่งกลายเป็นอำนาจพิธีกรรม อำนาจจริงอยู่เหนืออำนาจจากเลือกตั้ง ทั้งกองทัพที่ไม่ยอมใช้อาวุธบุโรทั่ง และองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเด็ดหัวฝ่ายค้านได้ในพริบตา
เศรษฐกิจทำท่าจะแย่ กองหนุนก็ด่าทรัมป์ทำสงครามการค้า ด่านายกฯ อังกฤษ ด่าม็อบฮ่องกง ฯลฯ ไปจนด่าแท็กซี่โง่ ไม่รู้บ้างเลยว่าที่ค่าเงินบาทแข็ง ส่งออกไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจไทยแกร่งจนต่างชาติแวะมาอาศัยพักเงิน
รัฐบาลก็จับปากท้องเป็นตัวประกัน แก้ปากท้องก่อน แก้รัฐธรรมนูญทีหลัง สังคมประโยชน์นิยมก็คล้อยตาม ในมุมหนึ่งก็อาจคิดว่าไม่สามารถทำอะไรได้กับระบอบที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ คิดว่าอยู่อย่างนี้ไปก่อน ให้ “การเมืองนิ่ง” เผื่อเศรษฐกิจจะดีขึ้น ด้วยฝีมือทีมสมคิด+จุรินทร์+ศักดิ์สยาม
ทั้งที่ทุกอย่างแย่ลง ไม่ว่าตัวเลขจีดีพี ส่งออก หนี้ครัวเรือน ของสภาพัฒน์ แต่พอฝ่ายค้านจับไปเป็นประเด็น ก็บอกว่าหนี้ ครัวเรือนไทยยังดีกว่าออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติก็ยืนกรานว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ถดถอย แหงละ ตัวเลขยังไม่ติดลบ เศรษฐกิจไทยจะไม่พังครืนแบบวิกฤต 40 หรอก แต่มันมีแนวโน้มแย่ลงๆ ไปทีละหน่อยๆ แบบที่ นักเศรษฐศาสตร์เปรียบเป็นกบในหม้อต้ม
จนวันนี้ก็ยังไม่เห็นทางออกจากหม้อต้ม เพราะที่ขายฝันกัน จะมุ่งไปสู่นวัตกรรม AI 4.0 พัฒนาขีดความสามารถ รองรับอุตสาหกรรม S-Curve อะไรเทือกนั้น มันขัดกันสิ้นเชิงกับ “ระบอบการปกครองแบบมั่วๆ” และเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยมที่ต้องการครอบงำความคิดความเชื่อค่านิยม
ในทางวัฒนธรรม ระบอบปัจจุบันต้องการสร้าง “ซอมบี้” โรงเรียนอีลิท เด็กอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ที่ปลูกฝังวัฒนธรรมไทย เคารพนบนอบครู เชื่อฟังผู้ใหญ่ รักลุง ฯลฯ ที่ไหนได้กลับเจอดราม่า #เกียมอุดม
ในเชิงโครงสร้าง ต้องการดึงการลงทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีสูงขึ้น แต่ถามว่าใครอยากมาลงทุนภายใต้ “ระบอบการปกครองแบบมั่วๆ” และการเมืองที่ดูเสมือนนิ่ง แต่ซ่อนความขัดแย้งรุนแรงอำมหิตอยู่ภายใน คาดเดาไม่ได้ว่า อนาคตจะเกิดอะไร
ระบอบการปกครองแบบมั่วๆ คือระบอบตามอำเภอใจที่ไม่มีกติกาแน่นอน ไม่มีนิติรัฐ ไม่มี rule of law แม้บอกชาวโลกว่านี่เป็นเรื่องภายใน ไม่ใช้กับทุนต่างชาติ ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษในการลงทุน แต่นิติรัฐต่างหาก คือหลักประกันการลงทุนที่แท้จริง
ไม่ใช่จะเปิดห้างอยู่แล้ว โดนหน่วยงานรัฐปิดทางเข้าออก ไม่ได้บอกใครผิดใครถูก แต่เมื่อรัฐออกใบอนุญาตแล้วต้องชัดเจนแน่นอน เป็นหลักประกัน ไม่ใช่สร้างห้างสร้างคอนโดฯแล้วโดนสั่งทุบทิ้งง่ายๆ ภายหลัง
ความชัดเจนแน่นอนทางกติกา มันเกี่ยวข้องทุกอย่าง ตั้งแต่กติกาการปกครองไปจนการแข่งขันทางธุรกิจ ความเชื่อมั่น ในความเป็นธรรม ความยุติธรรมทางสังคม ยุติธรรมจริงๆ นะ ไม่ใช่ “นิติประเพณี”
ขณะที่ความเชื่อ “การเมืองนิ่ง” จริงๆ ก็ไม่ใช่ เพราะมีแนวโน้มของการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ กวาดล้างพรรคการเมืองที่มีความคิดใหม่ เป็นภัยต่อเครือข่ายอำนาจอนุรักษนิยม
พูดอีกอย่างคือแทนที่จะประคองอำนาจ ไปในสถานการณ์ที่ปัญหาประเทศกำลังปริ่มๆ กลับจะใช้อำนาจหักหาญทำลาย โดยเชื่อว่าคุมได้ ไม่มีใครกล้าหือ
มองมุมหนึ่งก็ไม่ผิดหรอก ประเทศไทยไม่น่าซ้ำรอยวิกฤต 14 ตุลา พฤษภา 35 แบบเดียวกับทางเศรษฐกิจก็ไม่น่าซ้ำรอยวิกฤต 40 ระบอบอำนาจนิยมยังอยู่ได้ บนเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ ที่ทุกคนกลัวว่าถ้าเกิดม็อบแบบฮ่องกง เศรษฐกิจคงจะพัง ต้องประคองกันไปๆๆ แล้วก็ดราม่ากันไปๆๆ
ในขณะที่หม้อต้มก็ร้อนขึ้นๆ โดยไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่จะเดือด
เผยแพร่ครั้งแรกใน: ข่าวสดออนไลน์ www.khaosod.co.th/hot-topics/news_2866987