ตรรกะสลิ่มกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ
โดย จรรยา ยิ้มประเสริฐ
8 พฤศจิกายน 2554
ขอ นำประเด็นที่โพสต์ที่เฟสบุ๊ควันนี้ มารวบรวม ร้อยเรียงใหม่ เพื่อการทำความเข้าใจอย่างง่ายๆ เรื่องความสับสนเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทย
ก่อนอื่นมีน้องที่น่ารักคนหนึ่งเตือนความจำว่า วันนี้( 8พฤศจิกายน 2490) เมื่อ 64 ปีที่แล้ว ทหารและรอยัลลิสต์ ออกหน้าโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ได้ร่วมกันทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลคณะราษฎร และนำสู่การสิ้นสุดของประชาธิปไตยโดยประชาชน หลังจากที่ได้พยายามประคับประคองมาได้ 15 ปี นับตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 และเป็นจุดเริ่มต้นของการเมือง“ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในวิถีสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ที่ดำรงอยู่มาจนถึงปัจจบุัน
การก่อเกิดพรรคประชาธิปัตย์เพื่อปกป้องชนชั้นสูง
ในปี 2489 เช่นกัน ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และควง อภัยวงศ์ ด้วยการสนับสนุนจากชนชั้นสูง ได้ร่วมตัวกันก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตลอดกว่า 60 ปีที่ผ่านมา มีผลงานประจักษ์เด่นชัดว่าเป็นพรรค(พวก) “ของชนชั้นสูง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นสูง” และได้เล่นเกมส์การเมืองทั้งในและนอกรัฐสภาในมาด “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” ผนวกกับด้วยยุทธศาสตร์ “ปากว่า ตาขยิบ” หมายความว่า ในขณะที่ปากบอกว่า “เราจะเล่นตามกติกา” แต่ “ตา” ก็ “ขยิบ” ให้พลพรรค (พวก) สาดโคลนขั้วตรงข้ามอย่างรุนแรง ในทุกรูปแบบที่ทำได้
กรณีตัวอย่างที่เป็นที่รับรู้กันอย่างดี คือ การปรักปรำ ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ แกนนำแห่งคณะราษฎรที่ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงคำนิยามประเทศไทยจาก “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ประชาธิปไตย” ได้สำเร็จในปี 2475 (ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าปรีดี เป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยเมืองไทยก็ว่าได้) ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบปลงพระชนม์ในหลวงรัชกาลที่ 8
และยังมีการสร้างจิตวิทยามวลชนเพื่อกดดันปรีดี ด้วยการส่งคนไปตะโกนในโรงหนังว่า “ปรีดีฆ่าในหลวงอานันท์”
จนปรีดีต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ และไม่ได้กลับเมืองไทยจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2526 (โดยไม่มีงานพระราชทานเพลิงศพ) เป็นต้น
ด้วยเป็นพรรคเดียวในประเทศไทย ที่อยู่รอดการถูกล้มมาได้จนถึงปัจจุบัน ประชาธิปัตย์จึงมีวิทยายุทธทางเกมส์การเมืองที่กล้าแกร่ง และมีประสบการณ์ทางการเมืองอย่างยากที่จะหาพรรคการเมืองใดในประเทศไทยเทียบเทียมได้ และด้วยการมีสายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจเก่ามาอย่างยาวนาน พรรคประชาธิปัตย์ จึงโดดเด่นในเรื่องการ “เล่นเป็นทีม” มากกว่า พรรคการเมืองรุ่นหลัง ที่มักมีตัวชูโรงส่วนใหญ่เป็น “หัวหน้าพรรค” เท่านั้น แต่พรรคประชาธิปัตย์และค่ายชนชั้นสูงที่ไม่ต้องทำงานหนักมากนักมาโดยตลอด ต้องหวั่นไหวจากการการก่อตัวของพรรคไทยรักไทยในปี 2540 ที่แม้จะสูญเสียผู้นำไปหลายรุ่น (จากการถูกตัดสิทธิทางการเมืองและคดีความต่างๆ) รวมทั้งถูกกยุบพรรคถึง 2 ครั้งจนต้องตั้งพรรคสำรองไว้ทั่วราชอาญาจักรเพื่อเตรียมตัวยามถูกยุบพรรค(จะได้มีพรรคเสียบได้ทันท่วงที)
แม้ว่าปัจจุบันนี้ดำรงอยู่ในชื่อ “พรรคเพื่อไทย” แต่ก็ยังสามารถเอาชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ได้อีกสมัย และทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาล
กระนั้นด้วยความแข็งแกร่งของพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องด้วยการมีสายสัมพันธ์กับขั้วอำนาจเก่าอย่างแนบแน่น และเชี่ยวชาญยุทธการ “หลังม่าน” หรือ “การล๊อบบี้ทั้งในและนอกรัฐสภา” ตลอดจนสามารถรวบรวมชนชั้นสูงที่จบจากเมืองนอก ทั้งจากฮาร์วาร์ดและอ๊อกฟอร์ด เข้ามาอยู่ในพรรคจำนวนมาก ภาษาอังกฤษจึงไม่ผิดเพี้ยน เพราะพริ้ง งดงาม นุ่มนวล
ทำเอาสาวสลิ่มพากันเคลิบเคลิ้ม คลั่งไคล้ กันอย่างหนัก
การสร้างภาพที่สำเร็จงดงามกับชาวฟ้า ชาวกรุงว่า นักการเมืองผู้ดี ที่มาจากชนชั้นสูง คือกลุ่มคน(กลุ่มเดียว) ที่มีศักยภาพและคุณสมบัติแห่ง “การเป็นนักการเมืองที่ดี“ พร้อมทั้งอัดฉีดแคมเปญต่างๆ เพื่อดำรงคุณค่าและสถานะแห่ง “ผู้ดี” และตอกย้ำคนชั้นล่างถึงความเป็น “ไพร่” ว่า “อย่าสะเออะเสนอหน้า” ไว้ได้อย่างมั่นคง ไปกับวาทะกรรม “คนไม่เท่ากัน” และ “ผู้ดี=คนดี” “คนชนบท=คนโง่” กันอย่างต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ
แต่เนื่องจาก “ความจนไม่เข้าใครออกใคร” แม้จะเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เมื่อถูกกดขี่บีทาอย่างไม่เว้นวาย คนจนก็ลุกขึ้นตั้งคำถามและมีปฏิกริยาตอบโต้บ้างว่า “การเมืองตัวแทน” ไม่จำเป็นต้องเป็น “การเมืองคนดี” แต่เป็นการเมืองระบบรัฐสภาตัวแทน ที่เคารพเสียงส่วนใหญ่ โดยประชาชนจะทำหน้าที่ควบคุมตัวแทนของเขาเอง . .
จนตอกหน้าพรรคอำมาตย์จนหน้าหงายแพ้การเลือกตั้งมาต่อเนื่อง นับตั้งแต่สมัยการเลือกตั้งปี 2544
หน้าสิ่วหน้าขวาน
หลังจากที่ขั้วอำนาจเก่าหรือขั้วอำมาตย์พ่ายแพ้มาครั้งแล้ว ครั้งเล่า ทั้งในสนามเลือกตั้ง ทั้งไม่สามารถคุม “ไพร่” ไว้ใน “กะลาครอบ” ได้อีกต่อไป ด้วยคำสาปให้คนหมอบคลาน และมอบกราบอยู่ใต้ตีนอำมาตย์นั้น ได้ถูกทำลายลงไปด้วยโกเต๊กเปื้อนเลือดของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ประกาศบนเวทีพันธมิตรฯกระจายสัญญาณผ่านสถานี ASTV ของตนเมื่อ 29 ตุลาคม 2551 ว่า
“ได้ทำพิธีบางอย่างกับพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ด้วยการนำผ้าอนามัยหญิงที่ใช้แล้วจำนวน 6 ชิ้นไปวางไว้ที่บริเวณดังกล่าว โดยอ้างว่าต้องการป้องกันภูติผีตามความเชื่อของตน”
ราชอาณาจักรไทย ณ ยามนี้จึงอยู่ในสภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างน่ากลัว เพราะแม้รอยัลลิสต์หัวรุนแรง ที่นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล จะยึดถนนราชดำเนิน ยึดทำเนียบ ทำร้ายตำรวจจนคนพันธมิตรที่ปะทะกับตำรวจจนเสียชีวิต (แต่ก็ได้รับพระราชทานเพลิงศพเป็นการตอบแทนการทำคุณประโยชน์ต่อชาติและราชบัลลังก์) หรือแม้แต่ฮึกเหิมถึงขั้นยึดสนามบินนานาชาติ ก็ไม่มีใครในหมู่แกนนำพันธมิตรถูกจับกุมหรือคุมขัง
ต้องขอบคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำให้ “ราษฎรตื่นอีกครั้ง” จากการประจักษ์แจ้งอย่างมโหฬารกับคำว่า “สองหรือสามมาตรฐาน” จนเกิดเหตุการณ์ “ตาสว่างโร่ทั้งแผ่นดิน” อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในสังคมไทย!
สงครามน้ำลายฟูมปากสลิ่ม
ผ่านไป 5 ปี เมื่อเสื้อเหลืองหมดมนต์ขลัง จึงต้องกลายร่างเป็นเสื้อหลากสีแต่ก็ไร้น้ำยา และในยามนี้ต่างพากันมาสิงสถิตย์อยู่ในโลกเฟสบุ๊ค พร้อมกับอัดฉีดความเป็น “สลิ่ม” ไว้โจมตีค่ายเพื่อไทยและคนเสื้อแดงอย่างไม่ลดละ
พร้อมกับตัวเลขผู้ใช้เฟสบุ๊คในเมืองไทยพุ่งทะยานในอัตราที่สูงเกือบที่สุดใน โลกด้วยจำนวนทั้งสิ้นถึง 12,881,800 คน (ผู้ใช้) เพิ่มขึ้น 3,583,800 ผู้ใช้ ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาก (ดู http://www.socialbakers.com/facebook-statistics/thailand)
ยามนี้ อาจจะถือได้ว่า เป็นช่วงสุดท้ายของสงครามเย็นภายใต้ยุทธการ “สงครามน้ำลายชนชั้น” ผ่านทาง การวิวาทะกันอย่างดุเดือดด้วย “ภาษาพ่อขุนอุปถัมภ์” ในเฟสบุ๊คและอินเตอร์เนต เป็นการปะทะแห่งค่าย “เหลือง-แดง” ที่กระทำที่กันอย่าง “ดุดัน” และ “รุนแรง” ขึ้นเรื่อยๆ “ไม่สนใจความถูกต้อง” “ใช้คำผรุสวาท ด่าพ่อล่อแม่ ด้วยภาษา “ควายแดง” กับ “ควายเหลือง” กันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ข่าวรัฐประหาร ที่มีมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งก็ยังคงดังกระหึ่ม ฮึ่ม ฮึ่ม!
เมื่อ “สงครามน้ำลายผู้ดี” ใช้ไม่ได้ผล ประเทศไทยก็ถูกถาโถมรับการกลับมาของรัฐบาลเพื่อไทย ค่ายทักษิณ ชินวัตร ด้วย “สงครามน้ำท่วมปาก” และเมื่อ “สงครามน้ำท่วมปาก” ดูท่าว่าจะไม่ได้ผล เพราะว่า “ไม่สามารถปิดปากประชาชนทั้งประเทศได้” สลิ่ม จึงต้องงัดไม้เด็ดที่น๊อคไพร่มาตลอดมาใช้อีกครั้งหนึ่ง คือ “สงครามความรักและปกป้องสถาบันฯ”
เมืองไทยยามนี้ (และตลอด 6 ปีที่ผ่านมา) จึงอยู่ในสภาวะหล่อแหลม และหลายฝ่ายต่างวิตกกันว่า หลัง “สงครามน้ำ (ท่วมปาก)” คลี่คลาย “สงครามในนามแห่งความรักและปกป้องสถาบัน” จะมาแรงอีกระลอก (และจริงๆ แล้วมันได้เริ่มต้นแล้วอย่างบ้าคลั่งในเฟสบุ๊ค) เพื่อเปิดทางให้ “ทหารทำการรัฐประหาร(ตามความเชียวชาญประการเดียวที่ทหารเมืองไทยมี) “ ในนามปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์“ กันอีกครั้ง
และ “สงครามความรักและปกป้องสถาบันฯ” จะสำเร็จเช่นที่ทำให้ “คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)” ทำรัฐประหาร “รถถังและดอกไม้” ได้สำเร็จเหมือนเช่นปี 2549 หรือไม่? . . และการขยายวงกว้างแห่งกระแส “ตาสว่าง” จะมากพอจนทำให้ประเทศไม่ถูกน๊อคเป็นครั้งที่ 21 หรือ 22 ได้หรือไม่?
ณ ยามนี้ พรรคเพื่อไทยจึงเป็นรัฐบาลที่อยู่ในสภาวะ “หน้าสิ่วหน้าขวาน” ที่กำลังใส่เสื้อชูชีพลอยคออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อรอปาฎิหารย์น้ำลด และสวดออนวอนเทวดาว่าขออย่า “ถูกอุทกรัฐประหาร” ในท่ามกลาง “อภิมหาชลาศัย” ด้วยเทอญ
กระต่ายกับเต่า
ประเทศไทยถูกจัดอันดับตกลงมาเรื่อยๆ ในทุกการจัดอันดับในโลก . . .
ประเทศไทยถูกจัดอยู่ที่ลำดับ 73 ของดัชนีชี้วัดการพัฒนาของสหประชาชาติเมื่อปี 2548 แต่ในการจัดลำดับประจำปี 2554 เราตกร่วงลงมาอยู่ที่ลำดับที่ 92 . . .
ในรายงานปี 2554 ขององค์กรเสรีภาพแห่งโลก (Freedom House) จัดประเทศไทยในกลุ่ม “ไม่มีเสรีภาพทางสื่อ (2553)” และ “ไม่มีเสรีภาพทางเนต (2554)” ด้วยสาเหตุการใช้ พรบ. คอมพิวเตอร์และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างรุนแรง
ยิ่งกว่านี้ ในสภาวะการบริหารงบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุลและต้องกู้เงินปีละประมาณ 300,000-400,000 ล้านบาทมาต่อเนื่องทุกปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณแผ่นดิน พ.ศ. 2552 จนปัจจุบันนี้ ถ้าคำนวณกันคร่าวๆ ก็คงตกราวๆ 1.5 ล้านล้านบาท (สูงกว่าเงินกู้ไอเอมเอฟ 14,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงวิกฤติฟองสบู่แตกในปี 2540 ร่วม 3 เท่า . . หวังว่าผู้เขียนจะคำนวณผิด เพราะไม่อยากเห็นยอดเงินกู้ประเทศสูงท่วมภูเขาทองเช่นนี้!)
เราเสียเวลากันมานานมากเกินพอแล้ว จะต้องรอกันอีกกี่สิบหรือกี่ร้อยปี และจริงๆแล้วเราไม่มีเวลาที่จะเสียอีกแล้วเพราะเพื่อนบ้านทั้งหลายในกลุ่ม ASEAN ที่พี่ไทยคิดว่าเป็นเต่าต้วมเตี้ยม ที่เราเคยภาคภูมิใจว่าเราแซงหน้า และเราจะเป็นเสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 แห่งเอเชีย เพียงไม่กี่ปีให้หลัง เต่ายักษ์อาเซียนต่างทะยอยพากันเดินต้วมเตี้ยมเลยหน้า “พี่ไทยกระต่าย” ที่มั่วแต่หลงระเริงและนอนหลับอยู่ข้างทาง แม้ขณะนี้เพื่อนบ้านที่พี่ไทยเคยดูถูกดูแคลนนักหนาเช่นพม่า ลาว เวียดนาม เขมร ต่างก็คืบคลานตามมาอย่างกระชั้นชิด จนอาจจะแชงหน้าพี่ไทยไปในไม่ช้า ถ้า “กระต่าย” ยังชะล่าใจและนอนเล่นด้วยความเชื่อมั่นว่า “พรสวรรค์” นั้นดีกว่า “พรแสวง” เพียรเฝ้าสวดสรรเสริญเพื่อขอพร “เทวดา” ไม่นาน “ฟ้าก็จะมาโปรด” อยู่เช่นนี้
อนาคตของไทยขึ้นอยู่กับ “คนตาสว่าง” และ “คนรักประชาธิปไตย”
ในสานการณ์ยามนี้ “คนตาสว่าง” และ “คนที่มีเหตุผล” โดยเฉพาะ “ไพร่” หรือ “คนรักประชาธิปไตย” คืออนาคตของชาติ ที่ต้องลุกมาใช้เหตุผลถกเถียงกันอย่างกว้างขวางกับวาทะกรรมการเมืองชนชั้น โดยเฉพาะการให้นิยาม สร้างค่านิยมกันใหม่ กับคำว่า . . .
-
“อำมาตย์ – ไพร่” หรือ “ไพร่ – อำมาตย์”
-
“ผู้ดี = คนดี” “คนดี = คนไม่โกงกิน”
-
นักการเมืองดี = นักการเมืองที่คนกรุงเทพเลือก
-
นักการเมืองดี (ผู้ดี) = ลูกอำมาตย์ จบเมืองนอก ยิ่งจบอ๊อกฟอร์ดหรือฮาร์วาร์ด ก็ยิ่งถือว่าเป็นเกรดเอ
-
นักการเมืองจบมหาลัยเมืองไทย = กระจอก = พวกซื้อใบปริญญา = โกงกิน
-
นักการเมืองโกงกิน = นักการเมืองที่ชาวบ้าน (คนบ้านนอก) เลือก
-
ชาวบ้าน = เลือกนักการเมืองโกงกิน = โง่
-
ประเทศไทยจำต้องปกครองด้วย “คนดี” ไม่ใช่ ผู้แทนที่เลือกโดย “คนโง่”
-
ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปว่า ”คนชนบทโง่กว่าคนเมืองเทวดา”
-
ฯลฯ
ตัวอย่างการให้ค่า ตีค่า และคำจำกัดความภาพการเมืองไทย ดังที่ยกมาข้างบนนี้ แสดงให้เห็น (ในระดับหนึ่ง) ถึงค่านิยมและวาทกรรมทางภาษาที่ตั้งอยู่บนฐานคิดว่า “คนไม่เท่ากัน”
ถึงเวลาที่คนไทยจะต้อง “เปิดกะลา” ที่ครอบไว้ซึ่งความภาคภูมิใจใน “ไทยแท้ ที่ไม่เหมือนใครในโลก” แบบผิดๆ และพิจารณาความเป็นจริงในไทยและในโลกอย่างตรงไปตรงมา
คนไทยและประเทศไทยยังต้องมีภาระกิจอีกมาก ที่จะต้องร่วมกันขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเมือง เศรษฐกิจ และธรรมชาติ
และที่สำคัญต้องเร่งสร้างจิตสำนึกแห่งมนุษยชาติของคนในประเทศที่เคารพความเป็นมนุษย์ของคนอื่นๆ อย่างเท่าเทียมกันในศักดิ์และศรีตามคำประกาศแห่งปฏิญาสากลที่ไทยร่วมและให้สัตยาบันนับตั้งแต่ปี 2491 ซึ่งเป็นพันธกิจที่รัฐบาลไทยไม่เคยกระตือรือร้นที่จะส่งเสริมหรือพยายามสร้างให้เป็นจริง . . เพราะ “คำประกาศสิทธิมนุษยชนสากล” นั้นหนักแน่นใน
“มนุษยทั้งหลาย เกิดมามีอิสระเสรี เท่าเทียมกันทั้งศักดิ์ศรีและสิทธิ ทุกคนได้รับการประสิทธิ์ประสาทเหตุผลและมโนธรรม และควรปฎิบัติต่อกันอย่างฉันพี่น้อง”
ซึ่งมันจะไปคานกับจิตวิทยา “คนไม่เท่ากัน” ที่ค่ายอำมาตย์อัดฉีดกันทุกช่องทาง
เมืองไทยจำเป็นต้องถกเถียงและหักล้างตรรกะสลิ่ม ด้วยเหตุผล พร้อมกับต้องมีการสังเคราะห์ และวิเคราะห์นิยามคำและภาษาของคนเมืองเทพฯ รวมทั้งต้องมีการตีค่า ให้ค่า หรือประเมินค่า คำเหล่านี้กันใหม่ เพื่อให้คนหยิบมือที่เป็นอภิสิทธิชนมาอย่างยาวนานต้อง “ยอมจำนน” หรือ “ยอมรับ” การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และปรับตัวให้ทันสมัย สอดคล้องกับอารยะประเทศในโลกศตวรรษที่ 21 ที่เคารพว่า “คนเท่ากัน” และ “เสรีภาพนั้นเท่าเทียมกันทุกคน”
อนาคตแห่งสันติภาพและเสถียรภาพของประเทศไทยยามนี้ จึงขึ้นอยู่จิตสำนึกกับความเสียสละอย่างใหญ่หลวงของอภิสิทธิชนและทหารเป็นประการสำคัญ
ตราบใด้ที่สถาบันทหารยังประกาศจุดยืนว่าเป็น “ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เพื่อ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” กันอยู่เช่นนี้ สันติภาพก็ยังอยู่ที่ปลายกระบอกปืน และประชาธิปไตยในเมืองไทยก็ยังไม่สามารถก่อเกิด
ก็จนกระทั้งเมื่อทหารยอมรับว่าเป็น “ทหารของประชาชน” “เพื่อประชาชน” เท่านั้นล่ะ ที่เมืองไทยจะรู้จักกับคำว่า “สันติภาพ” และ “เสถียรภาพ” ทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงกันได้เสียที!
สุดท้ายนี้ ขอวาดภาพประชาธิปไตยในความน่าจะเป็นเพื่อเป็นความหวังให้กับคนไทยกันไปก่อน เราอยู่ในความหวังที่จะเห็นประชาธิปไตยประชาชนมาร่วม 100 ปีแล้ว จะต้องรออีกร้อยปี ก็คงจะไม่มีปัญหา เพราะพี่คนไทย (ที่ไม่ใช่ไทยแท้) ได้ชื่อว่า “โคตรทรหดและอดทน” ใช่ไหม ชิมิ ชิมิ!
ความหมาย: สลิ่ม
บุคคลที่หลงคิดว่าตนมีสติปัญญา คุณสมบัติ ความเชื่อ ค่านิยม หรือจริยธรรมเหนือกว่าผู้อื่น ทว่าแท้จริงกลับไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่สามารถใช้ตรรกะหรือแสดงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ จึงมักอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมีความเชื่อที่ผิดอยู่เสมอ ทั้งยังปากว่าตาขยิบ มีอคติและความดัดจริตสูง เกลียดนักการเมือง และไม่ชอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน
มาจากบุคคลที่อ้างว่าเกลียดเสื้อแดง แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นเหลืองพันธมิตร บุคคลเหล่านี้เมื่อรวมตัวกันมักสวมเสื้อหลากสีสัน แลดูเหมือนของหวานประเภทหนึ่ง
ที่มา: ศัพท์การเมืองไทยร่วมสมัย